วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

10 ปัญหาคาใจเกี่ยวกับการนอน


10 ปัญหาคาใจเกี่ยวกับการนอน

1. ทำไมการนอนจึงสำคัญ การนอนทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะทุกส่วนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมสำหรับการทำ งานในวันต่อไป เมื่อนอนน้อยอาจส่งผลให้ทำงานผิดพลาด ทำงานได้น้อยลง คุณภาพงาน ต่ำกว่าปกติ และมีงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม. หรือนอน มากกว่า 10 ชม. ต่อคืน เป็นประจำ อาจมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติ คนที่นอน ไม่เพียงพอนานๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดเมื่ออายุมาก ขึ้น และการนอนระหว่าง 21. 00-22.00 น. จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะโกร๊ธ ฮอร์ โมน ( growth homone) หลั่งออกมาอย่างเต็มที่ในช่วง 22.00-24.00 น. ช่วยซ่อม สร้างเซลล์ในร่างกาย และควรนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน

2. นอนหลับท่าไหนดีที่สุด การนอนมีความสัมพันธ์กับกระดูกสันหลัง เพราะหากนอนผิดท่า เช่น นอนงอตัวหรือนอน บิดตัว ติดต่อกันหลายๆ ปี อาจทำให้กระดูกสันหลังเลื่อนออกนอกแนวระนาบ ผิดรูป หรือคดงอได้ ท่านอน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นอนหลับสนิท ตื่นนอนอย่างสดชื่นและ ไม่ปวดเมื่อย - นอนหงาย ควรใช้หมอนหนุนหัวแบบต่ำเพื่อให้ต้นคออยู่แนวเดียวกับลำตัว ป้องกัน การปวดคอจากนอนคอพับหรือนอนเงยคอมากเกินไป แต่ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอด และโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก หัวใจทำงาน ลำบากขึ้น การนอนหงาย ยังอาจทำให้ผู้มีอาการปวดหลังมีอาการรุนแรงขึ้นด้วย
- นอนตะแคง การนอนตะแคงขวาช่วยให้หัวใจทำงานสะดวก และอาหารที่ค้างในกระเพาะจะ ถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ช่วยลดอาการปวดหลังได้ทางหนึ่ง แต่การนอนตะแคงซ้ายอาจทำ ให้เสียดลิ้นปี่ เพราะอาหารย่อยไม่หมดและค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร หญิงตั้งครรภ์ ควรนอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกไปกดทับกระดูกสันหลังและเส้นเลือดแดงใหญ่กลางลำ ตัว
- นอนคว่ำหน้า อาจทำให้หายใจติดขัดและปวดต้นคอ เพราะคอแอ่นมาทางด้านหลังหรือบิด ไปด้านใดด้านหนึ่งเป็นเวลานานๆ ถ้าต้องนอนคว่ำหน้าควรใช้หมอนรองใต้หน้าอกเพื่อ ไม่ให้ปวดเมื่อยต้นคอ

3. เลือกซื้อที่นอนอย่างไรดี ที่นอนควรมีขนาดกลางๆ ไม่นิ่ม หรือแน่นเกินไป (แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างที่นอน นิ่ม กับที่นอนแน่น ควรเลือกที่นอนแน่น เพราะที่นอนนิ่มจะทำให้ปวดหลังได้ มากกว่า) แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสรีระของแต่ละบุคคล ถ้าคุณลองนอน ดูแล้วไม่เกิดอาการปวดหลังก็ถือว่าใช้ได้ และควรเลือกที่นอนที่ยาวกว่าความสูง ของตัวเองอย่างน้อย 15 ซม. และพิจารณาสิ่งสำคัญต่อไปนี้ด้วย
- ความแน่นของที่นอน (Firmmess) ขึ้นอยู่กับความชอบและรูปร่างของผู้นอน เช่น คน ที่รูปร่างใหญ่ จะเหมาะกับที่นอนแน่นเป็นพิเศษ
- ชั้นโอบรับ (Conformity) คือมีส่วนที่สัมผัสและโอบรับกับร่างกายอย่างเหมาะสม เข้ากับส่วนโค้งเว้าได้ดี จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและนอนหลับสบายขึ้น
- ความแข็งของที่นอน (Edge Support) คือ ความสามารถในการรับน้ำหนัก โดยเฉพาะ ช่วงขอบของที่นอน ป้องกันการยุบตัว และไม่เกิดการลื่นไหลเวลานั่งขณะขึ้นหรือลง จากที่นอน
เมื่อใช้ที่นอนนาน เกิน 6 เดือน ควรกลับที่นอนอีกด้านหนึ่งขึ้นมาใช้ เพื่อไม่ให้ ที่นอนถูกใช้งานเพียงด้านเดียว เพราะทำให้ที่นอนเสื่อมสภาพเร็ว และควรกลับด้าน หัวนอนและปลายเท้าสลับกันด้วย เพื่อใช้งานอย่างทั่วถึงทั้งสี่ด้าน

4. หมอนแบบไหนดีที่สุด การหนุนหมอนที่ไม่มีคุณภาพนานๆ อาจทำให้กระดูกต้นคอ กดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยง สมอง หรือเกิดเป็นลิ่มเลือดอุดตัน หากลิ่มเลือดขึ้นสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์หรือ อัมพาตได้ คุณจึงควรสังเกตอยู่เสมอว่ามีอาการปวดช่วงต้นคอหลังจากตื่นนอนด้วย หรือไม่ หมอนที่ดีควรนอนแล้วรับกับกระดูกต้นคอได้พอดี เสมอเป็นระนาบเดียวกับลำ ตัว นอนแล้วคอไม่แหงนหรือพับ วัสดุที่ใช้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน
- ใยสังเคราะห์ มีทั้งแบบนุ่มฟูและแน่นขึ้นอยู่กับความชอบ ข้อดีคือมีความ ยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามรูปศีรษะ คืนรูปและระบายอากาศได้ดี ข้อจำกัด คือ เสื่อม สภาพเร็ว อายุใช้งานไม่คงทน
- โฟมลาเทกซ์ แข็งและแน่นมากกว่าหมอนประเภทอื่นๆ ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งาน นาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี หากเลือกขนาดไม่เหมาะกับศีรษะอาจนอนแล้วปวด คอได้
- ยางพารา มีทั้งแบบแข็งและแบบนิ่ม ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งานนาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี
- ขนเป็ด มีความนุ่มฟูเป็นพิเศษ เหมาะกับผู้ที่ชอบหมอนนุ่มมากๆ มีข้อจำกัด เรื่องการทำความสะอาด (ซักไม่ได้) และราคาค่อนข้างสูง
- นุ่น เป็นวัสดุที่ดีในการทำเครื่องนอน เพราะสามารถปรับให้รับกับสรีระของผู้ นอนได้ และราคาไม่แพง แต่มีข้อจำกัด คือ การทำความสะอาดยากและอาจมีเศษนุ่นหลุด เป็นละออง ออกมาจึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้

5. เราจำเป็นต้องมีหมอนหนุนของตนเองหรือเปล่า ควร เพราะสรีระแต่ละคนแตกต่างกัน ขนาดของหมอนที่เหมาะกับแต่ละคนจึงต่างกันไป ด้วย การเลือกหมอนต้องดูความเหมาะสมกับร่างกาย เช่น ผู้ที่รูปร่างใหญ่ หรือ นอนกรน ควรใช้หมอนที่สูง เพื่อให้คออยู่ระนาบเดียวกับลำตัวพอดี ทำให้รู้สึกไม่ อึดอัด และลดการนอนกรน หากเป็นคนตัวเล็กอาจหนุนหมอนต่ำลงมาหน่อยเพื่อรักษาแนว ระนาบของลำตัว
สำหรับ รูปทรงของหมอนขึ้นอยู่กับท่านอนของแต่ละคน ควรเลือกหมอนที่มีขนาดใหญ่พอ สมควร และมีส่วนกว้างออกมาถึงช่วงไหล่ เวลาพลิกตัวจะได้ไม่ตกหมอน หมอนที่มีส่วน เว้าโค้ง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกับต้นคอ จะเหมาะกับท่านอนหงาย หากนำมาใช้นอน ตะแคงอาจปวดต้นคอ และลองนอนหนุนหมอนทุกครั้งก่อนซื้อ เพื่อทดสอบความพอดีกับต้น คอ ความสูง ความนิ่ม ว่าเหมาะสมกับตัวเองมากน้อยเพียงใด
นอกจากนี้ ยังมีหมอนเพื่อรองรับการใช้งานรูปแบบอื่นๆ เช่น หมอนรองเอว หมอนรองขา หมอนรองคอ หมอนข้าง ผู้ที่มีปัญหาเวลานอนแล้วปวดขา ปวดเอว อาจซื้อหมอนประเภทนี้ มารองเพื่อให้รู้สึกนอนสบายยิ่งขึ้นก็ได้

6. หมอนสุขภาพจำเป็นไหม หมอนสุขภาพมีการผลิตจากวัสดุหลายประเภท เช่น โฟมลาเทกซ์ หรือยางพารา ฯลฯ ซึ่ง อาจผลิตให้โค้งเว้าเพื่อรองรับกระดูกต้นคอให้ได้ระนาบเวลานอนมากขึ้น ซึ่งมีข้อ ดีคือรองรับต้นคอได้พอดีเมื่อนอนหงาย แต่อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบนอนตะแคงเพราะ จะคอเอียงและปวดคอได้
ส่วนหมอน ที่ผลิตจากเปลือกไม้หรือเปลือกเมล็ดพืช เป็นหมอนที่ผลิตเพื่อรองรับและ ให้เข้ารูปกับศีรษะและต้นคอของผู้นอนแต่ละคน ซึ่งหลายคนที่เคยทดลองใช้ให้ความ เห็นว่านอนหลับสบายขึ้น แต่มีข้อจำกัดคือราคาแพง และต้องผึ่งแดดบ่อยๆ เพื่อ ป้องกันความชื้นและแมลง

7. จะรู้ได้อย่างไรว่าควรเปลี่ยนเครื่องนอนชุดใหม่แล้ว อายุของที่นอน/หมอนไม่ควรเกิน 15 ปี ถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องสังเกตว่าคุณปวดหลัง ปวดตัว ทุกครั้งที่ตื่นนอน หรือที่นอนยุบลงไปเป็นแอ่งหรือเปล่า ทั้งที่คุณกลับ ด้านหน้า ด้านหลังมาใช้แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณควรเปลี่ยนที่นอนหลังใหม่ เช่น เดียวกับหมอน ถ้านอนแล้วไม่รู้สึกสบายรู้สึกปวดคอ ก็ควรเปลี่ยนได้แล้วค่ะ

8. การนอนกับพื้นดีกว่านอนบนที่นอนจริงไหม การนอนกับพื้นแข็งมากๆ ทำให้เกิดการกดทับเป็นเวลานาน ระบบเลือดไหลเวียนลำบาก ทำ ให้เมื่อย และอาจเกิดอาการชาได้ การนอนพื้นจึงควรปูที่นอนบุนวมนิดหน่อย เพื่อ กระจายแรงกดทับของหลังกับพื้นโดยตรง แต่ทั้งนี้การนอนพื้นก็ไม่มีผลกระทบร้ายแรง แต่อย่างใด ถ้าคุณนอนแล้วไม่เกิดอาการปวด หรือเมื่อยหลังก็สามารถนอนได้ค่ะ

9. เครื่องนอนเคลือบสารป้องกันไรฝุ่นเชื่อได้แค่ไหน ไรฝุ่น (dust mite) เป็นสัตว์ประเภท "แมง" กินเศษผิวหนังและรังแคเป็นอาหาร ไร ฝุ่นจึงพบมากที่สุดในห้องนอน และเครื่องนอนต่างๆ 10% ของน้ำหนักหมอนที่เราใช้ นาน 2 ปีขึ้นไป มาจากตัวไรฝุ่นและอึของมัน เช่นเดียวกับที่นอนที่ใช้นาน 6 เดือน ก็อาจมีไรฝุ่นมากพอที่ทำให้คนเป็นภูมิแพ้เกิดอาการได้

ที่นอน ที่ทำจากใยสังเคราะห์ ฟองน้ำ ใยมะพร้าว หรือยางพารา เมื่อใช้ไประยะหนึ่ง ก็เกิดไรฝุ่นได้ ที่นอนที่ไม่มีไรฝุ่น คือ ที่นอนน้ำ (water bed) ส่วนหมอน ควร เลี่ยงชนิดที่ทำจากขนสัตว์ ฟองน้ำ นุ่น แต่ถ้าต้องการใช้ควรหุ้มด้วยผ้ากันไร ฝุ่นอีกชั้นก่อนใส่ปลอกหมอนธรรมดา
เครื่อง นอนเคลือบสารกันไรฝุ่นอาจช่วยป้องกันคุณให้ปลอดภัยจากไรฝุ่นได้ในระดับ หนึ่ง สังเกตได้จากคำว่า Microban Allergy Control หรือ Scot guard ควรเลือก ปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น ที่ทำจากผ้าเนื้อแน่น ทอละเอียด ปูทับก่อนปูผ้า หรือปลอกหมอนธรรมดา หากเป็นผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ควรซักผ้าด้วยน้ำอุ่น เพื่อฆ่า ไรฝุ่นด้วย แต่ถ้าไม่ได้ใช้ผ้าปูที่นอน หรือปลอกหมอนกันไรฝุ่น ควรทำความสะอาด ที่นอนเป็นประจำทุกเดือน ซักผ้าด้วยน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส ทุก 1-2 สัปดาห์

10. เราควรเลือกปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอย่างไร ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเป็นส่วนที่สัมผัสกับร่างกายโดยตรง เนื้อผ้าที่ใช้ควร เป็นผ้านิ่ม เพราะผ้าที่แข็งเกินไปอาจทำให้เกิดรอยยับ หากรอยยับนั้นมากดบนผิว หน้าหรือร่างกายบ่อยครั้งอาจเกิดปัญหาตามมาได้ การเลือกจึงควรเลือกผ้าที่จับ แล้วสบายมือพอสมควร ไม่หลุดเป็นขุย เนื้อผ้าที่นิยมใช้ทำเครื่องนอนได้แก่ ผ้า Cotton หรือผ้าฝ้าย ควรเลือกที่เป็น cotton 100% เพราะเนื้อผ้าจะนิ่ม ไม่ระคาย ผิว ผ้า Cotton satin เป็นผ้าที่ผสมระหว่างผ้าฝ้ายและผ้าไหม เนื้อผ้าจึงนิ่มและ ลื่นกว่าผ้า Cotton ซึ่งราคาก็สูงกว่าตามไปด้วย
พึงระลึกเสมอว่าของดี ราคาถูกไม่มีและควรลงทุนกับเรื่องของสุขภาพให้มากๆ เพื่อ ที่เราจะได้มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และให้การนอนเป็นการพักผ่อนที่มีความ สุขอย่างแท้จริง

บริหารแก้เครียด


บริหารแก้เครียด

ความเครียดนั้นเกือบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว ดังนั้นเราควรจะเรียนรู้วิธีผ่อนคลายแบบง่าย ๆ แต่ได้
ผลดีเอาไว้ใช้ วิธีผ่อนคลายง่าย ๆ ที่จะแนะนำต่อไปนี้ สามารถทำที่ไหน เวลาไหนก็ได้ เหมาะมาก ๆ สำหรับทุก ๆ
คนที่ยุ่งเป็นชีวิตจิตใจ และคุณแม่ที่มีลูกเล็ก ๆ หลายคน คุณสามารถที่จะผ่อนคลายร่างกายของคุณได้ทุกครั้งที่มี
ความรู้สึกกังวล เมื่อคุณเริ่มมีความกังวลคุณจะกลายเป็นคนเครียดโดยไม่รู้ตัว วิธีต่าง ๆ ต่อไปนี้จะทำให้คุณได้รู้ถึง
ความแตกต่างระหว่างความรู้สึกตึงเครียดและความรู้สึกผ่อนคลาย

การบริหารกล้ามเนื้อต่อไปนี้นั้นจะเป็นการเกร็งกล้ามเนื้อและการผ่อนคลายกล้ามเนื้อเป็นส่วน ๆ การเกร็งกล้าม
เนื้อนั้นจะทำให้รู้สึกตึงเพียงชั่วขณะ และจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายได้ดีขึ้น

สิ่งที่ควรรู้ก่อนที่จะเริ่มการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อคลายความตึงเครียด
- การฝึกการบริหารกล้ามเนื้อนั้นเป็นทักษะอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องอาศัยการฝึกฝนเพื่อเพิ่มเติมความชำนาญ
- แนะนำให้ฝึกอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
- ควรเลือกช่วงเวลาที่คุณว่างประมาณ 20-30 นาที โดยไม่มีความจำเป็นต้องรีบเร่ง
- หากต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ตึงเครียด ให้ใช้การบริหารกล้ามเนื้อนี้โดยด่วน ไม่ว่าจะที่ทำงาน ที่ห้างสรรพสินค้า

ในขณะกำลังยืนต่อแถว หรือแม้ว่ากำลังเดินอยู่
- แต่ละเซตของการบริหารกล้ามเนื้อแต่ละส่วนนั้น จะต้องทำซ้ำอย่างน้อย 5 ครั้ง
- หากรู้สึกตึง อย่าฝืนมากเกินไป เพราะเราไม่ควรได้รับการบาดเจ็บใด ๆ จากการบริหารกล้ามเนื้อเพื่อการผ่อนคลายนี้
- ให้ฝึกผ่อนคลายร่างกายและจิตใจอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างความตึงเครียดและความรู้สึก

ผ่อนคลาย

เริ่มด้วยการ : ผ่อนคลายกล้ามเนื้อแขนและมือ

อยู่ในท่าที่สบายที่สุดเท่าที่จะทำได้ กำมือข้างขวา แน่น ๆ ให้รู้สึกว่าตึงทั้งนิ้ว ฝ่ามือ หลังมือ ให้รู้สึกถึงการตึงที่
ข้อมือ เรื่อยขึ้นไปจนถึงแขน กำมืออย่างตั้งใจและมีสมาธิสักพักจึงค่อย ๆ ปล่อยมือ หายใจเข้าออกช้า ๆ แล้วสลับข้าง

ผ่อนคลายหัวไหล่

ให้เพ่งความสนใจไปที่บริเวณหัวไหล่และแขนส่วนบน หน้าอกและหลัง ห่อไหล่เข้าหากันจนรู้สึกตึงที่กล้ามเนื้อส่วน
ต่างๆ ให้เพ่งความสนใจไปที่กล้ามเนื้อที่ตึงเหล่านั้น รู้สึกถึงความตึงแล้วผ่อนทันที หายใจเข้าออกช้า ๆ

ผ่อนคลายกล้ามเนื้อบริเวณคอ

ยืนตั้งศีรษะตรงแล้วดันศีรษะไปด้านหลัง เกร็งกล้ามเนื้อบริเวณคอ หากนอนอยู่ให้กดศีรษะลงบนหมอน คุณจะรู้สึก
ตึงบริเวณด้านหลังของคอและส่วนหลังของศีรษะเรื่อยไปจนถึงไหล่ ระวังอย่าดันศีระษะจนรู้สึกตึงมากเกินไป ก้ม
ศีรษะมาด้านหน้าเพื่อผ่อนคลาย

ผ่อนคลายกล้ามเนื้อกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง

งอหลังเพื่อทำให้รู้สึกตึงที่บริเวณกล้ามเนื้อหลังค้างไว้สักพักเพื่อให้รู้สึกถึงความตึง แล้วจึงผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เกร็ง
กล้ามเนื้อหน้าท้องไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วผ่อนคลาย

ผ่อนคลายกล้ามเนื้อขาและเท้า

เริ่มที่ขาข้างขวา ยืดขาตรง แล้วกดปลายเท้าลงจนรู้สึกตึงตั้งแต่บริเวณฝ่าเท้าขึ้นมาเรื่อยจนถึงน่อง ค้างไว้สักพักเพื่อสัมผัสกับความตึง
จากนั้นผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หายใจเข้าออกช้า ๆ ตามปกติแล้วสลับทำขาข้างซ้ายการหายใจควรหายใจเข้าออกอย่างเบาและช้า ๆ
เมื่อเสร็จสิ้นการบริหารร่างกายเพื่อการผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้นอนพักสักครู่หนึ่ง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน กำหนดลมหายใจเข้าออก
แล้วจึงค่อย ๆ ขยับนิ้วเท้า ขา นิ้มมือ แขน หัวไหล่ และคอ

วันนี้คุณกินอาหารเช้าหรือยัง


วันนี้คุณกินอาหารเช้าหรือยัง

หมอที่โรงพยาบาลฯอบรมว่าทุกคนต้องกินอาหารเช้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมาก ได้ หลากหลาย เพราะเมื่อร่างกายไม่มีพลังงานจากอาหารเช้าไปใช้ ร่างกายจะดึงสารอาหารจากอวัยวะส่วนอื่นออกมา (ไม่ใช่ไขมัน ไขมันยังอยู่เหมือนเดิม) ซึ่งภายใต้กระบวนการนี้จะเกิดกรดชนิดหนึ่งออกมาด้วย

ซึ่งการที่เรา บอกว่าไม่กินข้าวเช้า ก็ยังทำงานได้เป็นปกติมาตั้งหลายปีแล้ว นั่นคือ ร่างกายได้นำเอากรดที่เกิดขึ้นมาใช้แทนพลังงานทุกวัน เราจึงทำงานโดยใช้กรดแทนพลังงาน และเมื่อร่างกายต้องผลิตกรดออกมาบ่อยๆ พออายุมากขึ้นเราก็จะเป็นโรคตามมาหลายอย่าง นอกจากนี้ เรารู้หรือไม่ว่า

โดย ปกติแล้วร่างกายของมนุษย์เราผลิตสารพิษอยู่ภายในร่างกายตลอดเวลา เป็นขยะ เหมือนรถที่เมื่อเติมน้ำมันเข้าไปแล้วก็จะมีควันออกมา ภาษาทางการแพทย์เขาเรียกขยะในร่างกายนี้ว่า สารอนุมูลอิสระ(oxidant) เกิดจากการสันดาปพลังงานของร่างกาย แล้วคายของเสียออกมา(ไม่ใช่อุจจาระนะ คนละแบบ)

นอกจากนี้ร่างกายจะเร่งผลิตสารอนุมูลอิสระอีกก็ต่อเมื่อ เวลาเราเครียดหรือต้อง ทำงานหนัก ใช้สมอง ประกอบกับเจอมลภาวะต่างๆ สภาพแวดล้อมที่เป็นพิษ อุปนิสัยการดื่มสุรา สูบบุหรี่ ก็ยิ่งเป็นตัวสร้างให้เกิดสารพิษนี้มาก การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอตอนกลางคืนเป็นหนทางและเวลาสำคัญที่ร่างกายจะ สร้า งสารต่อต้านสารอนุมูลอิสระ(anti-oxidant) ขึ้น เพื่อกำจัดสารอนุมูลอิสระที่เกิดตอนกลางวัน การนอนให้เพียงพอและหลับสนิทจะเป็นประโยชน์ไม่เฉพาะการกำจัดของเสีย แต่ยังช่วยให้เม็ดเลือดแดงของคนเราแข็งแรง สร้างฮอร์โมนเพศทำให้ร่างกายสมบูรณ์ มีน้ำมีนวล คุณหมอเอาภาพขยายเม็ดเลือดแดงของผู้จัดการชายอายุ 35 คนหนึ่งซึ่งเป็นคนไข้มาให้ดู เปรียบเทียบกัน 2 ภาพ ผู้ชายคนนี้เหมือนมนุษย์งานทั่วไป ทำงานหนักและเครียดขาดการพักผ่อนที่เพียงพอ ปรากฎว่าจำนวนเม็ดเลือดแดงของเขามีลักษณะเป็นก้อนขยุกขยุยไม่เป็นรูปทรงกลม เหมือนกลุ่มเม็ดเลือดแดงที่ควรเป็น เกิดความผิดปกติขึ้นเนื่องจาสารอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจำนวนมากไปทำลายเซลล์ เม็ดเลือดแดงในร่างกาย ซึ่งก็จะนำมาซึ่งโรคร้ายจำนวนมากอย่างที่คนไทยกำลังนิยมอยู่ จงจำไว้ว่า

1.ทาน อาหารเช้าแบบราชา อาหารกลางวันพอประมาณ และอาหารเย็นแบบยาจก หลีกเลี่ยงไขมันและของหวาน ออกกำลังกายให้ได้วันละอย่างน้อย 30-40 นาที(20นาทีแรกร่างกายเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต อีก 10-20 นาทีต่อมาร่างกายจึงจะค่อยเผาพลาญไขมัน)
2.นอนหลับ หรือ หลับนอนก็แล้วแต่ ให้เพียงพอ
3.รับแสงแดด ช่วง 8.00-9.00 ซึ่งมี UV ที่เป็นประโยชน์
4.พยายามเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการหัวเราะ ขำขัน ถ้าบ้าได้ก็ดี ชีวีจะเป็นสุข

10 อาหารที่อันตรายที่สุดในโลก


10 อาหารที่อันตรายที่สุดในโลก

1.แฮมเบอเกอร์
แฮมเบอร์เกอร์ ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่าสัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก หูและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าเบอร์เกอร์ทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef)แฮมเบอร์เกอร์ทั้งหมดจะใส่สารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะและเกิดอาการแพ้ MSG เป็นสารเคมีที่ห้องปฏิบัติการทดลองใช้ช่วยทำให้สัตว์อ้วนขึ้น และท้ายที่สุดก็ทำให้ท่านอ้วนขึ้นด้วย อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เป็นผู้ใช้ยาปฏิชีวนะมากที่สุดในโลก เพื่อใช้ในการหักล้างแบคทีเรียที่เป็นอันตรายในเนื้อ

2.ฮอทด็อก
ฮอทด็อก ทำมาจากเนื้อส่วนที่เหลือที่แย่ที่สุดจากโรงฆ่า สัตว์ เนื้อส่วนใดที่ขายเป็นส่วนของมันไม่ได้แล้วจะกองอยู่ที่พื้น และนำมาบดทำเป็นเบอร์เกอร์ รวมทั้งกีบ กระดูก จมูก สันจมูก หู เล็บและส่วนอื่นๆของมัน เพราะว่าฮอทด็อกทั้งหมดทำมาจากสัตว์ จึงสามารถขึ้นป้ายว่า เนื้อวัวแท้ (Pure beef) หรือ ทำจากไก่งวงแท้ 100%

3.เฟรนช์ฟราย
เป็น อาหารที่มี “ความเป็นพิษสูง”การทอดเฟร้นช์ฟราย จะทอดกันที่อุณหภูมิสูง ทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์(Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท

4.โอริโอ้ คุกกี้
ที่เด่นชัดมากก็คือ ส่วนของน้ำตาลมีอยู่สูงถึง 23 กรัมเลยทีเดียว
ช็อก โกเล็ตนั้นเป็นสารอาหารรายการสุดท้าย นั่นหมายความว่า มีช็อคโกเล็ตประกอบอยู่น้อยมาก น้ำตาลปริมาณสูง ทำให้ผิวหนังเ่ยวย่นและเกิดริ้วรอยได้เร็วยิ่งขึ้น

5.พิซซ่า
พิซซ่าในเชิงทางการค้าจะประกอบไปด้วยอาหารที่มาจากการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม 5 ชนิด
-. เนยแท้ (cheese) เพียง 10% เท่านั้น
-. แป้งที่ผ่านการปรุงแต่งให้ขาวที่ได้ทำการฟอกสี ทำให้วิตามินและเกลือแร่ออกไปแล้ว แต่ได้ทำการเติมเกลือแร่สังเคราะห์ตามจำนวนโมเลกุลที่มันเคยมีอยู่เข้าไป ใหม่
-ซอสมะเขือเทศ ทำด้วยสารที่คล้ายมะเขือเทศที่สร้างยาฆ่าแมลงของมันขึ้นมาได้เอง ในร่างกายของท่าน
-แป้งสาลีที่นำมาใช้เป็นแป้งชนิดที่มีการตัดแต่งทางพันธุ์กรรม
-มีน้ำมันฝ้ายประกอบอยู่ด้วย ฝ้ายไม่ได้จัดเป็นพืชพวกอาหาร มันผ่านการสเปรย์ด้วยยาฆ่าแมลงที่ชาวไร่ใช้

6.น้ำอัดลม
สาร ตัวสำคัญที่มีอยู่ในโค้กก็คือกรดกำมะถัน (Phosphoric acid) ในด้านความเป็นกรดด่าง มันมีความเป็นกรดอยู่สูงมากพอที่จะละลายตะปูได้ภายใน 4 วันกรดที่สะสมอยู่ในร่างกาย ทำให้ยากที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลงได้

7.ชิ้นไก่เนี้อนุ่มไม่มีกระดูก
ทำ มาจากชิ้นส่วนของไก่ที่ไม่ใช้แล้ว น้อยมากที่จะทำมาจากเนื้อขาวจริงๆการรับประทานต่อครั้งโดยทั่วไป จะให้พลังงาน 340 แคลอรี่ 50% เป็นไขมันมีแป้งขนมปังผสมอยู่มาก จึงมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูง มีการเติมสารปรุงรส (MSG=Monosodium Glutamate) ทำให้ปวดศีรษะ

8.ไอศครีม
มีไขมันอยู่สูงมาก (ขนาดปกติ 4 ออนซ์) มีไขมันเกินกว่า 50% ของไขมันที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีคาร์โบไฮเดรตอยู่มาก เกือบ 40% ของคาร์โบไฮเดรตที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวันมีน้ำตาลอยู่มาก ทำให้มีความกระหายน้ำตาลมากยิ่งขึ้น เป็นสาเหตุทำให้ผิวหนังเ่ยวย่น

9.โดนัท
โดย เฉลี่ยแล้ว จะให้พลังงานประมาณ 300 แคลอรี่ ในโดนัทหนึ่งชิ้นมีแป้งคาร์โบไฮเดรตอยู่มากกว่า 50% ของที่แนะนำให้บริโภคต่อครั้งต่อวัน มีเกลือโซเดียมอยู่สูงมาก ทำให้ร่างกายขาดน้ำได้

10.โปเตโต้ชิพ อาหารขบเคี้ยวว ว
การ ทอดโปเตโต้ชิพจะทอดกันที่อุณหภูมิสูงทำให้มีสารเคมีอะคริลิไมด์ (Acrylimides) ออกมา ซึ่งรู้จักกันดีว่า เป็นสารก่อโรคมะเร็งและทำลายประสาท กินมันฝรั่งทอดเพียงวันละ 1 ถุง เท่ากับซดน้ำมันพืชปีละ 5 ลิตรเชียวนะ

4 อาหารแก้ง่วงยามบ่าย


4 อาหารแก้ง่วงยามบ่าย


อาการง่วงนอนหาวหวอดเป็นโรคระบาดยามบ่ายๆ ของหนุ่มสาววัยทำงาน ที่ต้องทนทรมานกับความง่วงตลอดทั้งบ่าย ทำให้เสียสมาธิในการทำงานและเกิดอาการเกียจคร้านตามมา จนเสียงานการกันได้

หากว่าไปแล้วอาการอ่อนเพลียที่พูดถึงนี้ เป็นหนึ่งในอาการของโรคไฮโปไกลซีเมีย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการกินอาหารผิดๆ โดยเฉพาะอาหารหวานๆ ที่เต็มไปด้วยน้ำตาลขัดขาวและแป้งขัดขาว

หากคุณยังจัดการกับการง่วงนอนหรือความรู้สึกเฉื่อยชาช่วงบ่ายไม่ได้สักที และไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไร เกร็ดสุขภาพฉบับนี้มี 4 อาหารช่วยแก้อาการดังกล่าวมาแนะนำค่ะ

1. ผักผลไม้อุดมวิตามินซี ได้แก่ ฝรั่ง ส้ม บร็อคโคลี ช่วยต้านความเหนื่อยล้าที่มาจากความเครียดและกังวล

2. ผลไม้ที่มีโครเมียม ได้แก่ แอปเปิล กล้วย มันฝรั่ง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดและเพิ่มพลังงานแก่ร่างกาย

3. เมล็ดพืชมากคุณค่า ได้แก่ งา ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืชไม่ขัดสี (ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ) และจมูกข้าวสาลี ซึ่งมีโพแทสเซียมและแมกนีเซียม ช่วยบำรุงประสาทและช่วยให้จิตใจแจ่มใส สดชื่น

4. ไขมันดีๆ จากปลา เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่เสริมโปรตีนและกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้แก่ร่างกาย และยังช่วยทำให้สมาธิและความจดจำดีขึ้น

เพียงเท่านี้ คุณก็โบกมืออำลาอาการง่วงนอนยามบ่ายๆ ได้แล้วค่ะ

แนะบริโภคผักสมุนไพร ต้านภัยหวัด


แนะบริโภคผักสมุนไพร ต้านภัยหวัด


โดยสมุนไพรที่ว่านี้ สามารถหาได้จากทรัพยากรในท้องถิ่นต่างๆ ซึ่งนอกจากจะรักษาโรคด้แล้ว ยังเป็นการรักษาอย่างแท้จริงจกภายใน...

ผัก พื้นบ้านและสมุนไพรไทย นับเป็นภูมิปัญญาไทยชั้นเลิศที่ช่วยรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ห่าง ไกลจากโรคภัยไข้เจ็บ ดังนั้น ในยุคที่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่กำลังระบาดไปทั่ว แถมยังไม่มีวัคซีนป้องกัน รศ.ดร.พร้อมจิต ศรลัมพ์ เภสัชกรหญิงแห่ง ม.มหิดล จึงออกมาแนะนำให้คนไทยหันมาให้ความสำคัญกับพืชผักสมุนไพรพื้นบ้านที่มีอยู่ แล้ว โดยนำมาปรุงเป็นอาหารรับประทาน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง และยังต้านภัยไข้หวัดได้อีกต่างหาก


รศ.ดร. พร้อมจิตเผยว่า คนไทยเรานั้นโชคดีที่มีความหลากหลายทางทรัพยากรและภูมิปัญญา ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 ครั้งนี้ เป็นเพราะเราไม่รู้จักมาก่อน และร่างกายเราเองก็ไม่รู้จัก ในทางทฤษฎีการแพทย์แผนไทยเน้นการป้องกันก่อนเกิดโรค การบริโภคพืชผักและสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อโรค (แอนตี้ออกซิเดนท์) จึงถือเป็นการป้องกันจากภายใน โดยเข้าไปช่วยการสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับเม็ดเลือดขาว ซึ่งคนโบราณมีวิธีแยกความแตกต่างและคุณประโยชน์ของผักและสมุนไพรพื้นบ้าน จากสี กลิ่นและรสชาติ อาทิ หอมแดง จะมีสารแอนตี้ออกซิเดนท์ ที่ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันโดยตรง ส่วนผักที่มีรสเปรี้ยว ฝาด จะมีกรดวิตามินซีสูง เพิ่มความต้านทานไข้หวัด


สำหรับ พืชผักที่ควรนำมาบริโภคในช่วงไข้หวัดระบาดนี้ ได้แก่ กลุ่มผักมีสี อาทิ กระเจี๊ยบแดง มะเขือเทศ มะละกอ กลุ่มที่มีกลิ่นหอม อาทิ หอมแดง กระชาย มะตูม กลุ่มที่มีรสเปรี้ยว อาทิ สมอ มะขามป้อม ส่วนที่มีรสเผ็ดร้อน อาทิ ขิง ขมิ้น โหระพา กะเพรา กลุ่มที่มีรสฝาด อาทิ สมอไทย สมอพิเภก ชาเขียว สำหรับรสขม ได้แก่ สะเดา เพกา ซึ่งมีวิตามินซีสูงมาก และเมนูที่น่าจะเป็นที่ถูกใจแม่บ้านยุคใหม่ที่คำนึงถึงเรื่องความสวยความงาม ของร่างกาย คือกลุ่มเมนูยำผักสมุนไพรต่างๆ เพราะอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ต่อร่างกาย ที่สำคัญใช้เวลาในการปรุงไม่มาก แถมให้รสชาติถูกปาก คือมีรสเปรี้ยว หวาน เค็ม กลมกล่อม ซึ่งควรจะ บริโภคเมนูยำผักสมุนไพรเป็นประจำทุกวัน เพราะนอกจากจะมีวิตามินซีสูงต้านทานไข้หวัดแล้ว ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกัน ลดการเกิดมะเร็ง อันจะเป็นผลดีในระยะยาว

10ท่ากระชับสัดส่วนสวย


10ท่ากระชับสัดส่วนสวย

สาว ๆ วัยทำงานที่รู้สึกว่าตัวเองคือมนุษย์เงินเดือน ต่างก็ทุ่มเทเวลาให้กับการทำงาน หลังเลิกงานก็ตรงกลับบ้าน และเลือกที่จะดูแลตนเองเพียงแค่ควบคุมอาหารการกิน ดูแลผิวพรรณ และนอนหลับพักผ่อน เพราะหลายคนรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะไปออกกำลังกายได้อย่างสม่ำเสมอ

หากไม่ยืดเส้น ยืดสาย ขยับแขนขากันบ้าง ระวังสัดส่วนจะไม่กระชับดั่งใจ และอาจจะต้องทนเมื่อยล้ากล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เพราะฉะนั้น ลองหันมาออกกำลังกายในท่าง่าย ๆ ทำได้ที่บ้านทั้ง 10 ท่า ต่อไปนี้...

1.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนตะแคงข้าง ยกขาข้างหนึ่งขึ้น-ลง และสลับทำอีกข้าง

2.บริหารหน้าท้องและต้นขา ให้นอนหงาย ชันเข่าขึ้น ก่อนยกศีรษะไปทางด้านขวาพร้อมยกขาขวา หากยกศีรษะไปทางด้านซ้าย ก็ให้ยกขาซ้าย

3.บริหารช่วงเอว ยืนตรงแยกขาทั้งสองข้างห่างพอประมาณ จากนั้นยกแขนให้มือทั้งสองข้างประสานกันโดยหงายฝ่ามือออก และเอียงตัวไปด้านข้างสลับกันไปมา

4.บริหารแผ่นหลัง ช่วงหน้าอก และต้นขา ยกแขน และขาทั้งสองข้างขึ้น-ลงพร้อม ๆ กัน

5.บริหารต้นขา และหน้าท้อง ให้นอนราบ วางแขนสองสองข้างแนบลำตัว ยกขาทั้งสองข้างขึ้น-ลง

6.บริหารหน้าขา นอนราบกับพื้น แขนสองข้างวางแนบลำตัว ยกขาเตะสลับ สองจังหวะ

7.บริหารต้นขา ยืนตรง แยกปลายเท้าห่างพอสมควร มือสองข้างจับช่วงเอว แล้วยอตัวขึ้น-ลง

8.บริหารคอ ยืนตรง แขนแนวลำตัว หันศีรษะและลำตัวไปด้านซ้ายสลับขวา

9.บริหารสะโพก ให้คว่ำหน้าลงพื้น ชันศอกและเข่า ยกขาเหยียดตรงออกนอกลำตัวไปทางด้านหลังสลับขาซ้าย-ขวา

10.บริหารต้นขาและสะโพก ด้วยการนอนราบลงกับพื้น วางแขนชิดลำตัว ยกขาทั้งสองข้างพร้อมกันในลักษณะงอเข่า พยามให้หน้าขาชิดถึงบริเวณหน้าท้อง

บริหารร่างกายด้วยท่าข้างต้นเป็นประจำ จะช่วยบริหารกล้ามเนื้อ แถมยังช่วยกระชับสัดส่วนได้ดี เหมาะกับสาว ๆ ที่ไม่ค่อยมีเวลาออกกำลังกายอย่างจริงจัง ...วันนี้ กลับถึงบ้านแล้วลองทำดู.

กินยั้งมะเร็งกับนักกำหนดอาหาร


กินยั้งมะเร็งกับนักกำหนดอาหาร

มี หลายปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็ง และนั่นรวมถึงการรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม แบบไหนเรียกว่าเหมาะสม หรือไม่เหมาะสม ต้องติดตาม

สาเหตุของการเกิดมะเร็ง มีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างด้วยกัน นอกเหนือจาก 'พันธุกรรม' ที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง การรับประทานอาหารที่ไม่เหมาะสม เป็นสาเหตุหนึ่งในสามของการเสียชีวิตจากมะเร็งทั้งหมด

"มะเร็งบาง ชนิดมีการทราบสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไร เช่น มะเร็งปากมดลูกมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส มะเร็งปอดสาเหตุสำคัญคือการสูบบุหรี่ แต่ยังมีมะเร็งอีกหลายชนิดที่เราไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ซึ่งอาหารก็ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งซึ่งอาจทำให้เกิดมะเร็งเหล่า นั้นได้ เช่น มะเร็งลำไส้ เชื่อว่าการที่เรารับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ เกิดมะเร็งลำไส้ได้ การรับประทานอาหารที่มีการปนเปื้อนเชื้อราอาจเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งตับ แต่คนเป็นมะเร็งตับเกิดจากอาหารอย่างเดียวหรือเปล่า...ก็ไม่ใช่" นุชธิดา สมัยสงฆ์ นักกำหนดอาหาร โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวถึงความสัมพันธ์ของอาหารกับมะเร็งเป็นสาเหตุของกันและกันได้อย่างไร

ปัจจุบัน นักกำหนดอาหาร มีส่วนสำคัญต่อการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยเป็นหนึ่งใน Patient Care Team ทำงานร่วมกับทีมแพทย์ ดูแลด้านโภชนาการของผู้ป่วย ทำหน้าที่ประเมินภาวะโภชนาการ วางแผนโภชนบำบัดและให้คำแนะนำถึงรูปแบบการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและสอด คล้องตามสภาวะร่างกาย สภาวะของโรค แผนการรักษา และพฤติกรรมผู้ป่วยแต่ละราย ดูแลความถูกต้องของอาหารที่ผู้ป่วยได้รับขณะเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลให้ ตรงตามคำสั่งการรักษาของแพทย์ พร้อมประเมินและติดตามผลการโภชนบำบัดอย่างต่อเนื่อง รวมถึงให้คำแนะนำเวลาผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้านให้สามารถเป็นแนวทาง ปฏิบัติต่อไปได้

การรับประทานอาหารที่ดีและได้รับสารอาหารครบถ้วนก่อนการรักษา ระหว่างการรักษา และหลังการรักษา จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและดีขึ้น

วิธี การทำงานของ 'นักกำหนดอาหาร' คือ ประเมินน้ำหนัก-ส่วนสูงของผู้ป่วยมะเร็ง ที่นี่เรามีเครื่องมือวัดไขมันใต้ผิวหนัง วัดปริมาณกล้ามเนื้อในร่างกาย ซักประวัติการรับประทาน คนไข้มีประวัติน้ำหนักเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหรือลดลงหรือไม่ การรับประทานอาหารมีภาวะคลื่นไส้อาเจียนหรือไม่ ใช้หลายข้อมูลประกอบกัน บางครั้งคนไข้มีการเจาะเลือดก็จะใช้ผลเลือดมาประกอบด้วย

นุชธิดา สมัยสงฆ์ กล่าวและอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการดูแลภาวะโภชนาการกับผู้ป่วยมะเร็งว่า "คนไข้มะเร็ง ก่อนผ่าตัดเราต้องดูแลภาวะโภชนาการให้เหมาะสม เพื่อที่หลังผ่าตัดระยะเวลาในการอยู่โรงพยาบาลจะได้สั้นลง แผลหายได้เร็วขึ้น ต้องดูว่าก่อนหน้ามาโรงพยาบาลหกเดือนคนไข้มีการเปลี่ยนแปลงของน้ำหนักตัว หรือเปล่า ช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาลักษณะการรับประทานได้เหมือนเดิม หรือรับประทานเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่ อาหารกลุ่มไหนที่รับประทานเป็นหลัก เช่น ในส่วนของข้าวรับประทานข้าวขาวหรือข้าวกล้อง ปริมาณมากน้อยแค่ไหนในแต่ละมื้อ เนื้อสัตว์ที่รับประทานเป็นเนื้อสัตว์แบบไหน ประเมินอาหารในแต่ละส่วน ก่อนผ่าตัดมีการเจาะเลือด ก็จะดูผลเลือดว่ามีส่วนไหนที่บกพร่อง มีน้ำตาลในเลือดสูง มีไขมันในเส้นเลือดแค่ไหน ถ้าการผ่าตัดกรณีที่รอได้ เราก็จะปรับภาวะโภชนาการให้อยู่ในระดับที่ดีก่อน"

ในฐานะนักกำหนดอาหาร นุชธิดาให้ข้อคิดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงการเป็นมะเร็ง ดังนี้

* รับ ประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (แอนตี้ออกซิแดนท์) ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินอี และซีลีเนียม แหล่งอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระคือ ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ (ถั่วต่างๆ ลูกเดือย ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์) ผัก-ผลไม้ควรรับประทานทุกวัน ถ้าเป็นผักสุกมื้อหนึ่งประมาณหนึ่งทัพพี ถ้าเป็นผักสดประมาณหนึ่งถ้วยข้าวต้มอย่างน้อย ถ้ารับประทานได้มากขึ้นก็เป็นสิ่งที่ดีมากขึ้น สำหรับผลไม้ปริมาณที่เหมาะสมคือกินให้ได้ 2-3 ครั้ง/วัน ถ้าเป็นผลไม้ลูกกลมๆ เช่น แอปเปิล ให้กินหนึ่งผลต่อหนึ่งมื้อ ถ้าเป็นผลไม้ลูกโตๆ เช่น สับปะรด แตงโม มื้อหนึ่งควรกินให้ได้ประมาณ 8 คำ
* หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อมะเร็ง เช่น อาหารที่มีการเติมสารถนอมอาหารต่างๆ เช่น สารกันบูด สารกันเชื้อรา
* หลีก เลี่ยงอาหารที่มีเชื้อราปนเปื้อน นอกจากดูวันผลิตและวันหมดอายุซึ่งเป็นหลักสำคัญ รองลงไปคือสังเกตด้วยตาเปล่า ถ้ามีเชื้อราเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรรับประทานแล้ว อาหารที่เลยกำหนดวันหมดอายุไปเพียงเล็กน้อยก็อาจมีเชื้อราที่มองไม่เห็นด้วย ตาเปล่าเกิดขึ้นได้เช่นกัน
* หลีกเลี่ยงอาหารรสเค็มจัดหวานจัด
* หลีก เลี่ยงการบริโภคอาหารที่ให้ไขมันมากเกินไป อาหารที่มีไขมันสูง การได้รับไขมันในปริมาณมากเกินไป คือเกิน 30-35% ของพลังงานที่เราได้รับทั้งหมด โดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ไขมันที่มาจากสัตว์ อาจมีผลทำให้เกิดมะเร็งได้ เป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่ง
* หลีกเลี่ยง อาหารประเภทปิ้ง-ย่างหรือเผาไหม้จนเกรียม โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เนื่องจากไขมันในสัตว์เนื้อแดงและสัตว์ปีกเมื่อเจอกับความร้อนจะเกิดสารออก ซิเดชั่น เป็นสารแห่งความเสื่อม ซึ่งจะทำให้เกิดโรคในกระบวนการความเสื่อมต่างๆ เช่น ทำให้เกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้หมายความว่าอาหารปิ้ง-ย่างเป็นอันตรายจน กระทั่งกินไม่ได้ ยังสามารถกินได้ใน ปริมาณพอเหมาะ ที่สำคัญคือ ไม่ควรกินติดต่อกันเป็นประจำ (หรือที่เรียกว่ากินซ้ำซาก) เพราะเท่ากับเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากขึ้น แต่ถ้าหลีกเลี่ยงได้จะเป็นการดีที่สุด

นุชธิดา สมัยสงฆ์ ให้ความเห็นไว้ด้วยว่า ถ้าย้อนกลับไปดูในอดีต ผัก-ผลไม้ เป็นสิ่งที่คนไทยกินทุกวัน คนสมัยก่อนถ้าไม่กินผักกินข้าวไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สมัยนี้เราไม่กินผัก-ผลไม้ บางคนไม่เคยคิดว่าวันนี้กินผัก-ผลไม้ไปหรือยัง คือกินไปตามความอยาก โดยที่ไม่ได้ดูว่ามีส่วนประกอบอะไรในอาหารบ้าง เช่น ถ้าเรากินข้าวมันไก่ มีแตงกวาสองสามชิ้น ก็ไม่ใช่ปริมาณที่เพียงพอ ตอนเย็นก็ไปกินพิซซ่า แต่ไม่ตักสลัด ก็ไม่ได้ผักอีก ตอนเช้าดื่มนมแค่กล่องเดียว ก็ไม่มีผัก ถามว่ากินผลไม้หลังอาหารหรือเปล่า...ก็ไม่ เลือกกินเป็นขนม บางคนก็ดื่มน้ำหวาน น้ำเปล่าก็ได้รับน้อยลง เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งอันเนื่องจากการรับประทานอาหาร ที่ไม่เหมาะสมในชีวิตประจำวัน

นอกจากเลี่ยงอาหารที่เป็นปัจจัยเสี่ยง ต่อการทำให้เกิดมะเร็ง คราวนี้ลองมาพิจารณาว่าจะกินอาหารอย่างไรเพื่อช่วยให้ห่างไกลจากมะเร็ง ซึ่งมีคำแนะนำเบื้องต้นดังนี้

1. เลือกกินอาหารที่มาจากพืชเป็นส่วนใหญ่ การรับประทานอาหารในแต่ละมื้อควรมีผักและผลไม้ทุกครั้ง (อาหารที่มีกากใยสูง)
2. ควร รับประทานผักให้มีความหลากสี (ไม่ควรรับประทานชนิดเดียวซ้ำๆ) เช่น ผักสีขาว ได้แก่ หอมใหญ่ ผักกาดขาว ดอกแค กะหล่ำปลี, ผักสีเขียว ได้แก่ บร็อกโคลี ถั่วฝักยาว คะน้า ผักบุ้ง, ผักสีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ แครอท, ผักสีเหลือง ได้แก่ ข้าวโพดอ่อน ฟักทอง, ผักสีม่วง ได้แก่ มะเขือม่วง
3. หากต้องการโปรตีน ลองหันมากินโปรตีนจากพืช เช่น เห็ด ถั่วเหลือง สลับกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์
4. เลือก รับประทาน 'อาหารว่าง' ที่ประกอบจากผักหรือผลไม้ แทนขนมหวาน เช่น ผลไม้สด ผลไม้ลอยแก้ว น้ำส้มคั้นสด น้ำบีทรูท น้ำฟักทอง น้ำแครอท

ใครๆ ก็รู้ว่าป้องกันไว้ก่อนดีกว่ามาตามแก้ไขภายหลัง แต่คนเรามักชะล่าใจ ปล่อยตัวตามใจปากตามใจอยาก อย่างไรก็ตาม 'มะเร็ง' นอกจากต้องระวังเรื่องอาหารการกิน เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม ยังมีเรื่องของ 'สิ่งแวดล้อม' และ 'ความเครียด' เข้ามาเป็นปัจจัยอีกด้วย

เมนูอาหารต้านมะเร็ง :

1.สไปซี่นัทส์ (Spicy Nuts)
ส่วน ผสม: ถั่วบราซิล 140 กรัม ถั่วเฮเซล 115 กรัม ถั่วอัลมอนด์ 140 กรัม มะม่วงหิมพานต์ 140 กรัม ถั่วพีแคน 110 กรัม น้ำพริกแกงแดง 4 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ สาหร่ายโนริอบแห้ง 1 แผ่น เกลือปรุงรส (เล็กน้อย)
วิธี ทำ: ผสมถั่วทั้งหมดลงในโถคลุกอาหาร ตามด้วยน้ำพริกแกงแดง น้ำผึ้ง เกลือ คลุกเคล้าจนเข้ากันดี เทใส่ถาดอบ นำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิ 180 องศาเซลเซียส ประมาณ 15-20 นาที หรือจนถั่วเป็นสีเหลืองสวย ทิ้งให้เย็น ม้วนสาหร่ายให้แน่น หั่นตรงกลางความยาว ซ้อนสาหร่ายแล้วหั่นเป็นเส้นๆ (หรือใช้กรรไกรตัดก็ได้) ผสมกับถั่วใส่ไว้ในขวดโหลกันอากาศ เก็บไว้รับประทานเป็นของว่า
คุณค่าอาหาร: ถั่วเปลือกแข็งชนิดต่างๆ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญต่อการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก คือ ซีลีเนียมและวิตามินอี เส้นใยอาหารสูงในถั่วยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้อีกด้วย

2.แซลมอนดิ๊ปอโวคาโด (Salmon dip Avocado)
ส่วน ผสม: กระเทียม 1 กลีบ อโวคาโด 1 ผล แซลมอนนึ่งสุก 100 กรัม เต้าหู 125 กรัม มะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะ พริกขี้หนูสดสับ 1/2 ช้อนชา พาร์สลีสดสับ 1 ช้อนชา มะเขือเทศ 1 ลูก ขนมปังโฮลวีต
วิธีทำ: ทุบกระเทียมแล้วบดให้ละเอียด ปอกอโวคาโดแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ใส่ลงในเครื่องบด ตามด้วยเนื้อปลา เต้าหู มะเขือเทศบด พริกขี้หนู ปั่นให้ละเอียด ตักใส่จาน หั่นมะเขือเทศเป็นชิ้นเล็กๆ ผสมกับพาร์สลี่ไว้สำหรับตกแต่ง รับประทานกับขนมปังปิ้ง
คุณค่าอาหาร: สารไลโคพีนซึ่งพบมากในมะเขือเทศ เมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอี ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก สารไฟโตเอสโตรเจนจากเต้าหู้ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง

3.แกงกะหรี่ผัก
ส่วน ผสม: กะหล่ำดอก 1/4 หัว บร็อกโคลี 1 หัว บรัซเซลสเปราท์ 8 หัว แอสพารากัส (หรือจะใช้ถั่วแขกก็ได้) 2 ก้าน ฟักทอง 200 กรัม หอมหัวใหญ่ 2 หัว กระเทียม 4 กลีบ น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ ผงแกงกะหรี่ 1 ช้อนโต๊ะ มะเขือเทศกระป๋องหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 800 กรัม น้ำซุปผัก 2 ถ้วย มะเขือเทศบดในกระป๋อง 2 ช้อนโต๊ะ เกลือหรือน้ำปลา 1 ช้อนชา ผักชีสับหยาบ 1 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำ: ตัดดอกกะหล่ำและบร็อกโคลีเป็นช่อเล็กๆ หั่นครึ่งบรัซเซลสเปราท์ ตัดยอดแอสพารากัสหั่นผ่ากลาง (ถ้าใช้ถั่วแขก เล็มปลายถั่วและหั่นครึ่งตามขวาง) หั่นฟักทองเป็นชิ้นพอดีคำ หั่นหอมหัวใหญ่เป็นแว่น ทุบกระเทียม ตั้งน้ำมันในกระทะเพื่อผัดผักทั้งหมด เริ่มจากผัดหัวหอมใหญ่และกระเทียมประมาณห้านาที ใส่ผงกะหรี่ ผัดต่อไปหนึ่งนาทีจนเริ่มหอม ใส่มะเขือเทศ น้ำซุปผัก มะเขือเทศบดและเกลือ ต้มต่อจนเดือด ใส่ฟักทอง ต้มต่อห้านาที ตามด้วยบร็อกโคลี บรัซเซลสเปราท์ แอสพารากัส ต้มต่ออีก 10-15 นาที หรือจนผักนุ่มขึ้น เสิร์ฟร้อนๆ แต่งหน้าด้วยผักชี
คุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนเป็นสารมีสีพบในผักสีเข้ม มีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม สารไลโคพีนเมื่อทำงานร่วมกับวิตามินอีช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก, สารอินโดล (พบในบร็อกโคลี) อาจช่วยป้องกันมะเร็งที่สัมพันธ์กับฮอร์โมน เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก, ไดอัลลิลซัลไฟด์ (มีในหอมหัวใหญ่) ช่วยเพิ่มระดับเอนไซม์ที่ต่อสู้กับมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งในกระเพาะอาหาร วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง
เคล็ดลับ: การนำผักสดมาปรุงอาหารควรใช้วิธีนึ่ง ผักจะคงคุณค่าสารอาหารไว้ได้มากกว่าวิธีการลวก

เครื่องดื่ม Citrus Drink
ส่วนผสม: น้ำส้มเกรฟฟรุตคั้น 1/2 ถ้วย มะละกอหั่นชิ้น 1 ถ้วย น้ำส้มคั้น 1 ถ้วย น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย
วิธีทำ: ปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกันให้ละเอียด รินใส่แก้วพร้อมดื่ม
คุณค่าอาหาร: เบต้าแคโรทีนมีส่วนช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยป้องกันมะเร็ง

การดูแลตัวเองกับการแก้ไขปัญหาเท้าเหม็น


การดูแลตัวเองกับการแก้ไขปัญหาเท้าเหม็น

การจัดเรียงควาสำคัญในการดูแลร่างกาย เท้าดูเหมือนจะอยู่ระดับท้ายๆ เพราะเป็นอวัยวะที่ถูกปิดมิดชิด ไม่ค่อยได้โผล่ออกมายิ้มแฉ่ง หนุ่มๆ ก็เลยละเลยไปโดยปริยาย แล้วถ้าวันดีคืนไม่ดี เท้าเหม็นขึ้นมาล่ะ อับอายไปสามวัน เจ็ดวัน มาดูแลเท้ากันบ้าง อะไรบ้าง

มาดูสาเหตุที่จะเกิดการเท้ามีกลิ่นกันก่อน

เท้าอับชื้น
อาจเกิดจากการลุยน้ำท่วม เปียกฝน จนรองเท้าเปียกอับชื้น อาจทำให้รองเท้าและเท้าของหนุ่มๆ ส่งกลิ่นเน่าได้เช่นกันค่ะ

อาหาร
อาหารการกินก็ทำให้เท้าเหม็นได้ครับเช่น หัวหอม กระเทียม กินมากเกินไปก็มีกลิ่นตัว กลิ่นเท้าได้ค่ะ

เท้ามีเหงื่อเยอะ
ความจริงเหงื่อช่วยเราระบายความร้อนนะ แต่รองเท้าบางชนิดระบายอากาศไม่ค่อยดี ทำให้เหงื่อออกมากเกินไปเป็นปัญหาเท้ามีกลิ่นได้!!

โรคเกี่ยวกับเท้า
เล็บขบ เท้าเป็นแผล เชื้อราที่เท้า ล้วนสร้างกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ได้ทั้งสิ้น

วิธีการแก้ไข


เลือก ถุงเท้า-รองเท้า ที่ระบายอากาศ

2 สิ่ง ที่มีส่วนสำคัญในการขจัดกลิ่นเท้า ถ้ามีการระบายอากาศที่เพียงพอ รับรองลดกลิ่นไปเพียบ
เท้าเปียกไม่ควรใส่รองเท้า

บางครั้งเรา รีบมาก เท้ายันไม่ทันแห้ง รีบสวมถุงเท้า-รองเท้าก่อนแล้ว หารู้ไม่ว่าเป็นวิธีที่กระตุ้นให้เกิดกลิ่นได้เป็นอย่างดีเลย
เอาเท้ามารับลม

ในระหว่างวัน อาจจะช่วยลดการอึดอัดและการสะสมของกลิ่น ด้วยการถอดเหลือแต่เท้าเปล่า ใครเพลินมาก เอาเท้าเปล่าไปเดินบนหินนวดเท้า ก็ช่วยให้เลือดไหลเวียนดี เป็นการสปาเท้าง่ายๆ ได้ด้วยนะ

ไม่สวมรองเท้าแน่นเกินไป
ทำให้บีบรัดเส้นประสาท เลือดไปหล่อเลี้ยงได้ไม่ดีเท่าที่ควร แถมยังส่งผลให้เดินไม่สะดวก รูปเท้าผิดรูปร่าง ที่สำคัญ เท้าเหม็นจ้า...

หมั่นตัดเล็บ
เล็บที่ไม่ได้ตัดมานาน มีการสะสมหมักหมมของเชื้อโรค และเกิดเป็นกลิ่นเหม็นได้เช่นกัน
ล้างเท้าให้สะอาด

หลังผ่านวันอันยาวนาน ก็ล้างเท้าเสียหน่อย ถูสบู่ทความสะอาดตามง้ามนิ้ว นิ้วเท้า ด้วยล่ะ

ไม่ต้องกลัวกลิ่นปลาหมึกอาละวาดแล้ว หากดูแลเท้าทั้งคู่ของเราดีพอ เวลาเดินไปไหนเพื่อนจะได้ทัก "ไงล่ะ คนเท้าหอม" (ฮ่า)

เก้าอี้ทำลายสุขภาพ นั่งนานเรียกโรคภัยมาใส่ตัว


เก้าอี้ทำลายสุขภาพ นั่งนานเรียกโรคภัยมาใส่ตัว


วารสารทางการแพทย์ "หลอดเลือด" ของสหรัฐฯ รายงานว่า มีการศึกษาพบว่า การนั่งเก้าอี้นานวันละหลายชั่วโมง เป็นการเชื้อเชิญโรคหัวใจและหลอดเลือดมาสู่ตัวได้

ตัวอย่างเช่น ผู้ชายที่นั่งนานถึงอาทิตย์ละ 23 ชม. จะมีโอกาสที่จะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด มากกว่าผู้ที่นั่งนานแค่ 11 ชม.เท่านั้น ถึงร้อยละ 64

นักวิจัยสหรัฐฯยังคำนวณได้ว่า การนั่งดูทีวีนานขึ้นอีกกว่าธรรมดาวันละ 1 ชม. จะทำให้เสี่ยงกับการเสียชีวิตจากโรคต่างๆนานาขึ้นอีกร้อยละ 11

พวกเขาพบสาเหตุว่า เพราะไขมันรวมกับโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นโมเลกุลที่ทำให้ร่างกายย่อยไขมันจะถูกขับออกมา ต่อเมื่อกล้ามเนื้อขาแข็งตึงขึ้น นั่นคือ เมื่อเรายืนหรือเดินเท่านั้น นอกจากนั้น เมื่อยามที่นั่งอยู่นั้น ขบวนการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงานอันสำคัญก็จะหย่อนยานลงด้วย

ศาสตราจาร์เดวิด ดันสตัน ผู้เรียบเรียงรายงานผลการศึกษา กล่าวว่า "แม้แต่คนที่น้ำหนักตัวปกติ การนั่งเป็นเวลานานๆก็ยังเป็นโทษกับปริมาณน้ำตาลและไขมันในเลือด" และเสริมว่า "ถึงแม้จะวิ่งวันละ 1 ชม. ทุกเช้า แต่ถ้าต้องนั่งอยู่ทั้งวัน ก็จะสูญเสียประโยชน์ต่อสุขภาพไป"

เขาแจ้งต่อไปว่า ยิ่งกับผู้หญิงยิ่งร้ายหนัก สตรีที่นั่งนานเกินกว่าวันละ 6 ชม. จะเสี่ยงกับการเสียชีวิตมากขึ้นกว่าเพื่อนที่นั่งนานไม่เกิน 3 ชม. ถึงร้อยละ 37 ไม่ว่าจะได้ออกกำลังเวลาไหน การนั่งเป็นเวลานานส่อว่าเป็น ภัยต่อสุขภาพ หมอบางคนได้เรียกร้องให้มีการแนะนำให้ทำการออกกำลังและยืนกันให้มากขึ้น "เพราะเมื่อเรายืน เราก็จะได้เดินไปมามากขึ้น แม้แต่ยืนเฉยๆก็ยังดีกว่า การยืนช่วยให้เผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นระหว่างร้อยละ 10-20" อาจารย์เจมส์ เลอวิน ศาสตราจารย์วิชาแพทย์ ของสถานคลินิกเมโยกล่าวค่ะ.

สุดยอด ผัก ผลไม้บำรุงสายตา


สุดยอด ผัก ผลไม้บำรุงสายตา

อาหารเพื่อบำรุงสมองนั้น เราทุกคนเคยทานและคุ้นเคยมากกว่าอาหารเพื่อบำรุงดวงตาหรือสายตา

อาหารเพื่อบำรุงดวงตาและสายตาไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราน่าจะลองมาทำความรู้จัก ผักและผลไม้เหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น และควรหามาบริโภคเป็นประจำ เราก็จะสามารถช่วยให้ดวงตาของเรานั้นมีสุขภาพที่ดีและมองดูสดใสอยู่ตลอดเวลาค่ะ

ผลแอปริคอท

ผลแอปริคอทมันหวาน แคนตาลูป และน้ำเต้านั้น อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก

ผักเคล หรือ กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม

เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้อีกด้วย

ถั่วสีน้ำตาลแดง

ถั่วสีน้ำตาลแดง นั้นเพรียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา

ส้ม

วิตามินซีที่พบได้ในผักและผลไม้ เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวานนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มนั้นยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด และนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย

ถั่วชนิดต่างๆ

อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวันและเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น

ปลาแซลมอน

เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตาและยังสามารถช่วยลดอากาตาแห้งได้อีกด้วย

โฮลเกรน ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี

โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย นั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์

จากงานวิจัยได้ค้นพบว่าการเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมมาจากค่าดัชนีน้ำตาลที่สูงอีกทั้ง Macular หรือจุดกลางรับภาพจอประสาทตานั้นเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด ดังนั้นการบริโภคธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยให้การเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมลดลงได้ถึง 8% ค่ะ

10 อาหารที่แพทย์จีนเตือน


10 อาหารที่แพทย์จีนเตือน

ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์แผนจีน แนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน

1. ไข่เยี่ยวม้า : ไข่เยี่ยวม้ามี ตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลง กินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่ว เช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

2. ปาท่องโก๋ : กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปนเปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3. เนื้อย่าง : กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

4. ผักดอง : ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูง และโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง

5. ตับหมู : ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง(อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น

6. ผักขม ปวยเล้ง : ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสี และแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้

7. บะหมี่สำเร็จรูป : บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหาร และการสะสมสารพิษได้

8. เมล็ดทานตะวัน : เมล็ดทานตะวันมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทว่า... การกินมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้กระบวนการเคมี (metabolism) ในร่างกายผิดปกติ ทำให้เกิดการสะสมไขมันในตับ ภาวะไขมันในตับสูงอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคตับ เช่น ตับแข็ง ฯลฯ เพิ่มขึ้น

9. เต้าหู้หมัก เต้าหู้ยี้ : กระบวนการหมักเต้าหู้อาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่าย... ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคนสูงอายุ หรือเด็กเล็กได้ นอกจากนี้กระบวนการผลิตยังทำให้เกิดไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

10. ผงชูรส : คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินวันละ 6 กรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา... การกินผงชูรสมากเกิน หรือบ่อยเกินทำให้เกิดภาวะกรดกลูตามิกในเลือดสูง อาจทำให้ปวดหัว ใจสั่น คลื่นไส้ และมีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์

ฉลาดเลือก ... ใช้แปรงสีฟัน


ฉลาดเลือก ... ใช้แปรงสีฟัน

การแปรงฟันเป็นวิธีการทำความสะอาดช่องปาก ที่ช่วยกำจัดคราบจุลินทรีย์และเศษอาหาร ที่ตกค้างออกจากช่อง ปาก เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นต้นเหตุของการเกิดโรคฟันผุและเหงือกอักเสบ แปรงสีฟัน... เป็นเครื่องมือสำคัญ สำหรับช่วยในการแปรงฟัน เราจึงรู้จักวิธีการเลือกแปรงสีฟันที่ดี ซึ่งจะทำได้ดังนี้คือ

ก่อนซื้อ ... ต้องดูฉลาก

1) ดูที่ชนิดของแปรงสีฟันควรเลือกแปรงสีฟันชนิดนุ่ม(soft) หรือ ปานกลาง(medium)

2) มีการระบุว่า มนปลายขนแปรง(end-rounded)

3) แปรงสีฟันมีความยาวคลุมฟัน ประมาณ 2 ซี่ ถึง 2? ซี่ และ

4) ดูว่ามีชื่อบริษัทผู้ผลิตด้วย

เมื่อแกะกล่องควรตรวจแปรงสีฟันดังนี้

1) เอานิ้วลูบตามขอบของหัวแปรงสีฟัน ต้องไม่มีส่วนใดที่มีความคม หรือเป็นมุมที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเหงือกและกระพุ้งแก้ม

2) เอานิ้วลูบหน้าตัดขนแปรง ต้องไม่คมบาดมือและขนแปรงควรสปริงตัวได้ดี

3) ด้ามแปรงจับถนัดมือ

ทำไม ต้องเลือกขนแปรงชนิดนุ่ม

เพราะขนแปรงนุ่มสามารถเข้าทำความสะอาดบริเวณซอกฟันและร่องเหงือกได้ดี โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายและเหมาะสมกับวิธีแปรงฟันที่แนะนำ คือ วิธีแปรงฟันแบบ ขยับ-ปัด (Modified bass technique) ถ้าชอบแปรงสีฟันชนิด ปานกลาง ก็ขอให้ระวังอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเหงือกและฟัน ดังนี้

(1) คอฟันสึก

(2) เหงือกร่น ซึ่งมีวิธีป้องกัน คือ

(2.1) ห้ามใช้วิธีการแปรงฟันแบบ ถูไป- มาแรงๆ เด็ดขาด ควรค่อยแปรงเบาๆ อย่ารีบร้อน

(2.2) ค่อยๆ ขยับแปรงสีฟันสั้นๆ ทีละ 2-3 ซี่ อย่าแปรงแบบลากยาว เพราะจะทำให้คอฟันสึกได้

วิธีที่ถูกต้องของการแปรงฟันแบบขยับ-ปัด คือ การ วางขนแปรงที่คอฟัน ซึ่งจะเป็นบริเวณที่มีการสะสมของคราบจุลินทรีย์ โดยทำมุมประมาณ 45 องศากับตัวฟัน เพื่อให้ขนแปรงสามารถเข้าไปทำความสะอาด บริเวณร่องเหงือกได้ แล้วขยับไปมาสั้นๆ 4-5 ครั้ง ฟันบนปัดลงล่าง ฟันล่างปัดขึ้นบน เมื่อย้ายไปแปรงตำแหน่งใหม่ ควรแปรงคล่อมฟัน ที่แปรงไปแล้วด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าได้ทำความสะอาดซอกฟันทุกแห่งอย่างทั่วถึงค่ะ

ความงามจากผลไม้


ความงามจากผลไม้


ผลไม้ ผลผลิตอันน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่ผู้หญิงหลายคนต่างหลงใหล และนำมารับประทานเพื่อเสริมสร้างประโยชน์ให้กับร่างกาย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า นอกจากคุณประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับแล้ว ผลไม้ยังอุดมด้วยแร่ธาตุ วิตามินและสารอาหารที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่น มีเสน่ห์สดใสเป็นที่น่าจับตามอง ที่สำคัญยังช่วยชะลอเวลาของผิวสวยๆ ไม่ให้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา

ในช่วงที่เศรษฐกิจทั่วโลกย่ำแย่อย่างนี้ การใช้ในสิ่งใกล้ตัวแล้วไม่ต้องหยุดสวย น่าจะเป็น 2 วัตถุประสงค์ที่สาวๆ น่าจะเรียนรู้ เรามาดูกันถึงความมหัศจรรย์แห่งความงามจากผลไม้ค่ะ

ทับทิม

ผลไม้จากสวรรค์เป็นสัญลักษณ์แห่งการเกิดใหม่ อุดมด้วยวิตามินเอ ซี และอี แร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสสระ ที่ช่วยบำรุงผิวให้สวยสดใส เปล่งปลั่ง อ่อนเยาว์ แถมยังเต็มเปี่ยมด้วยพลังแห่งการต้านการเสื่อมสภาพของผิวอีกด้วย

มะขามป้อม

ถือเป็นผลไม้ที่มีโอสถในตัว เนื่องจากมีวิตามินซีสูงกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ อีกทั้งคุณค่าแห่งการบำรุงเข้มข้น ช่วยทำให้ผิวกระจ่างใสแม้อยู่ในรูปของสารสกัด

ถั่วเหลือง

ธัญพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารผิวและโปรตีน อีกทั้งยังมีไฟโตรเอสโตเจน ที่มีคุณสมบัติเหมือนฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น เปล่งปลั่ง สุขภาพดี

มะพร้าว

ผลไม้มากคุณค่าแห่งการบำรุงที่มีมาช้านาน อุดมด้วยวิตามินอีโมเลกุลเล็ก จึงซึมซาบดูแลถึงเซลล์ชั้นใน ลดการสูญเสียโปรตีน ช่วยรักษาสุขภาพของหนังศีรษะให้แข็งแรง ปรับสภาพและเสริมสร้างการเจริญของเส้นผม ให้ผมเงางาม สุขภาพดีมีน้ำหนัก

มะเฟือง

สมัยโบราณนิยมนำน้ำมะเฟืองสดมาชำระล้างทำความสะอาดเส้นผม เนื่องจากในผลมะเฟืองมีแร่ธาตุที่เหมาะกับเส้นผม อีกทั้งยังมากด้วยวิตามิน ช่วยรักษาสมดุลตามธรรมชาติให้กับเส้นผมและหนังศีรษะ ให้ผมนุ่ม ลื่น สะอาด ปราศจากรังแค

สร้างสุขภาพดีด้วยผักผลไม้วันละ5อย่าง


สร้างสุขภาพดีด้วยผักผลไม้วันละ5อย่าง

ประโยชน์ของผักและผลไม้ส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างมาก แต่วันนี้คุณกินผักผลไม้หลากหลายมากพอแล้วหรือยัง เพื่อส่งเสริมสุขภาพให้แข็งแรง กูร์เมต์ มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท ชวนเสริมสร้างสุขภาพดีอย่างง่าย ๆ ในโครงการ “เมค ยัวร์ เดย์ วิธ ไฟว์ อะ เดย์ : สุขภาพดีสร้างได้ด้วยผักผลไม้วันละ 5 อย่าง” ตั้งแต่วันนี้ถึง 15 พ.ย. 2553 ที่กูร์เมต์ มาร์เก็ต เอ็มโพเรียม, พารากอน, เค วิลเลจ สุขุมวิท 26 และโฮม เฟรช มาร์ท เดอะ มอลล์ ทุกสาขา โดยในวันเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการ ณ กูร์เมต์ มาร์เก็ต ชั้นจี พารากอน ดีพาร์ตเมนต์สโตร์ ได้ 2 เซเลบริตี้คนดังร่วมเผยเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ และสาธิตการปรุงเมนูสุขภาพในแบบฉบับตัวเอง ณพสิทธิ์ เที่ยงธรรม กับเมนูมิกซ์แอนด์แมตช์ วีกกี้ ซุป เป็นเมนูซุปที่มีผักครบ 5 อย่างช่วยบำรุงสายตาและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ และ อรอาภา พูนทรัพย์มณี กับเมนูสลัดผักรวมและช็อกโกแลตเดรสซิ่ง เมนูนี้เหมาะสำหรับผู้หญิง ซึ่งช่วยทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส ช่วยให้ผ่อนคลายและหลับสบาย

ลักขณา นะวิโรจน์ รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า เดอะมอลล์ กรุ๊ปเห็นความสำคัญของการบริโภคผักและผลไม้ เนื่องจากผลสำรวจสุขภาพคนไทยของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า คนไทยบริโภคผักและผลไม้เฉลี่ยไม่ถึงวันละ 200 กรัม ซึ่งต่ำกว่ามาตรฐานสากลที่ควรบริโภคให้ได้วันละ 400 กรัม เพื่อกระตุ้นคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากยิ่งขึ้น โดยเริ่มต้นง่าย ๆ จากการกินผักและผลไม้วันละ 5 อย่าง เพราะในผักผลไม้มีสารอาหารจำนวนมากที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งช่วยให้ร่างกายเกิดความสมดุล,สร้างภูมิต้านทานโรค, ช่วยให้การทำงานของระบบอวัยวะในร่างกายเป็นไปอย่างถูกต้อง และยังช่วยในเรื่องความจำ รวมทั้งช่วยให้ผิวพรรณดีด้วย โดยกูร์ เมต์ มาร์เก็ต และโฮม เฟรช มาร์ท เตรียมผักและผลไม้สด ใหม่ปลอดภัยคัดสรรพิเศษกว่า 500 รายการมาให้เลือกซื้อ

การกินผักและผลไม้แต่ละอย่างให้คุณประโยชน์ที่แตกต่างกัน ทั้งวิตามิน เกลือแร่ สารพฤกษาเคมี ไฟโตนิวเทรียน หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งผักผลไม้ยังช่วยกำจัดสารพิษในร่างกาย ทำให้ร่างกายประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ และยังเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งวันละ 5 อย่างนี้หมายรวมถึงการกินให้หลากหลายคือ ควรกินผัก ทั้งใบ ดอก ราก หน่อ เป็นต้น,หลากหลายสีคือ กินทั้งผักผลไม้สีส้ม สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีม่วง สีขาว เป็นต้น, หลากหลายรสชาติคือ กินผลไม้รสเปรี้ยว รสหวาน เป็นต้น นอกจากนี้โครงการเมค ยัวร์ เดย์ วิธ ไฟว์ อะ เดย์ฯ ยังช่วยส่งเสริมให้เด็ก ๆ หันมากินผักและผลไม้เพิ่มมากขึ้น โดยเทคนิคง่าย ๆ เพียงเพิ่มปริมาณการกินผักผลไม้ ในทุกเมนูอาหารหรือเพิ่มการดื่มน้ำผลไม้ รวมทั้งเพิ่มเมนูของว่างด้วยผลไม้แทนเมนูแป้ง เท่านี้ก็จะช่วยให้เด็ก ๆ กินผักผลไม้มากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างพฤติกรรมการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย.

การเลือกครีมกันแดดที่ดี


การเลือกครีมกันแดดที่ดี

สารกันแดดมีกี่ชนิด

สารกันแดดสามารถแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม

Physical Sunscreen (สารกันแดดสะท้อนแสง)
เป็นสารเพิ่มคุณสมบัติสะท้อนแสง ส่วนมากไม่ทำปฏิกิริยาการแพ้กับผิวหนัง เช่น Titanium Dioxide(TiO2), Zinc Oxide (ZnO) เป็นต้น สารในกลุ่มนี้สามารถป้องกันได้ทั้ง UVA,UVB,Visible Light และ Infrared Light


Chemical Sunscreen(สารกันแดดดูดแสง) เป็นสารที่สามารถดูดซับพลังงานของแสงแดดไว้ก่อนที่แสงแดดจะผ่านลงไปที่ผิว หนัง สารในกลุ่มนี้มีหลายชนิด ซึ่งสามารถดูดซับพลังงานในช่วงที่ต่างกันและอาจทำให้เกิดการแพ้ยาได้
วิธีการเลือกใช้ยากันแดด
ใน ปัจจุบัน เทคโนโลยีต่างๆ สามารถกันแดดที่ดีขึ้น เช่น สารในกลุ่ม Physical Sunscreen ที่สามารถกันแดดได้ดี และหน้าไม่ขาว หรือ การใช้ยากันแดดทั้ง 2 กลุ่ม (Physical and Chemical Sunscreen) ผสมกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดในการป้องกันแสงแดด

หลักในการเลือกและใช้ยาทากันแดด

สิ่งที่ดีที่สุดในการป้องกันแสงแดด คือ การหลีกเลี่ยงแสงแดด แต่ในบางกรณี เราจำเป็นต้องโดนแสงแดด เราจึงควรรู้จักการเลือกใช้ยากันแดดดังนี้

1. พิจารณาตามความจำเป็นและเหมาะสมกับตนเอง โดยคำนึงถึง

อาชีพ ลักษณะงาน

กีฬา หรือ กิจกรรมต่างๆ

ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้หรือเปล่า

2.โดยทั่วไปยากันแดดควรมีค่าป้องกันแสงแดด(SPF) เท่ากับหรือมากกว่า 15
3.ควรป้องกันทั้ง UVA และ UVB
4.ไม่ควรใช้ยากันแดดที่มีน้ำหอม เพราะว่าน้ำหอมสามารถทำให้เกิดอาการแพ้ได้บ่อย
5.ควรทาหนากว่าทาครีมทั่วไปเล็กน้อย
6.เมื่อมีเหงื่อหรือโดนน้ำควรทายากันแดดซ้ำ หรือใช้ยากันแดดที่สามารถกันน้ำได้



4 เคล็ดลับ สร้างสุขภาพเกรด A


4 เคล็ดลับ สร้างสุขภาพเกรด A



กิน ดื่ม นอน ถ่าย เป็นกลไกปกติของชีวิตประจำวันมนุษย์ และเป็นต้นทางสู่ความอ่อนแอ ขี้โรค หรือว่าแข็งแรงสดใสด้วย ใครอยากมีสุขภาพดีๆ โปรดทำตามเคล็ดลับที่จะขอแนะนำทั้ง 4 ประการดังต่อไปนี้


เคล็ดลับของการกิน


1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และหลากหลาย ไม่ซ้ำซาก

2. กินอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบสดๆ และสะอาด ปราศจากสารปนเปื้อนเป็นสำคัญ

3. อย่ากินอาหารรสจัด ไม่ว่าจะหวานจัด เปรี้ยวจัด เค็มจัด มันจัด หรือเผ็ดจัดก็ตาม ยกเว้นขมจัด เช่น มะระหรือสะเดา

4. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด และรับประทานช้าๆ อย่ารีบเร่ง

5. กินอาหารที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ๆ ดีที่สุด

6. กินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป และไม่น้อยจนเกินไป

7. กินผักและผลไม้ให้ติดเป็นนิสัย ผลไม้ไม่ควรหวานจัด


เคล็ดลับของการดื่มนม


นม เป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับเด็ก และผู้ใหญ่ ประกอบไปด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ คือ แคลเซียม และฟอสฟอรัส จึงช่วยให้กระดูก และฟันแข็งแรง นอกจากนั้น ยังมีโปรตีน น้ำตาลแลคโตส และวิตามินต่างๆ โดยเฉพาะวิตามินบี 2 ที่ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ ทำงานเป็นปกติ นมมีหลายชนิด มีทั้งนมรสจืด และนมปรุงแต่งชนิดต่างๆ ซึ่งให้คุณค่าอาหารใกล้เคียงกัน


หญิงมีครรภ์ ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ ควรดื่มนมวันละ 1-2 แก้ว เด็กก่อนวัยเรียน และวัยรุ่น ควรดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย ทำให้กระดูกแข็งแรง และชะลอการเสื่อมสลายของกระดูก


สำหรับข้อควรระวัง ก็คือ ก่อนซื้อนมทุกครั้ง ควรสังเกต วัน เดือน ปี ที่ข้างกล่องว่า หมดอายุหรือไม่ ควรเลือกเฉพาะนมที่บรรจุในภาชนะที่ผิดสนิท ภาชนะไม่รั่วซึม หรือบวม นมบางชนิด เช่น นมพาสเจอไรส์ หรือโยเกิร์ต ต้องเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิ ไม่เกิน 10 องศาเซลเซียส


แคลเซียม ที่มีอยู่ในร่างกาย จะจับกับฟอสฟอรัส อยู่ในรูปเกลือแคลเซียมฟอสเฟต โดยเป็นส่วนประกอบของกระดูก และฟัน ถึงร้อยละ 99 ส่วนอีกร้อยละ 1 อยู่ในเนื้อเยื่อ และในของเหลวของร่างกาย แคลเซียมเป็นสารที่จำเป็น สำหรับทารก และเด็กที่กำลังเจริญเติบโต ช่วยสร้างเนื้อกระดูกให้มีความหนาแน่นมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในช่วงบั้นปลายของชีวิต ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุน


ผู้ใหญ่บางคน ไม่สามารถดื่มนมได้ เนื่องจากดื่มแล้ว เกิดปัญหาท้องเดิน หรือท้องอืด เพราะร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ จึงอาจปรับเปลี่ยน วิธีการดื่ม โดยให้ดื่มนมครั้งละน้อยๆ เช่น ? แก้ว แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น หรือใช้วิธีดื่มนมหลังอาหาร หรือเปลี่ยนเป็นโยเกิร์ต ซึ่งช่วยลดปัญหาท้องเดิน หรือท้องอืดได้


ส่วนนมถั่วเหลือง หรือน้ำเต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง ให้โปรตีน วิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ดื่มได้เป็นประจำเช่นกัน


เคล็ดลับเรื่องการนอนหลับ-พักผ่อน


ร่างกายของคนเราทำงานเป็นเวลานานๆ มีความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย ร่างกายจำเป็นต้องการพักผ่อน เพื่อการฟื้นฟูร่างกาย จิตใจ และสมอง ให้มีโอกาสในการพักผ่อน หลังการทำงานหนัก การพักผ่อน ทำได้ดังนี้


การพักผ่อน - อาจทำได้หลายอย่าง เช่น การปลูกต้นไม้ ทำการฝีมือ เล่นดนตรี อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ เป็นต้น


การนอนหลับ - เป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด การนอนหลับอย่างน้อยวันละประมาณ 6-8 ชั่วโมง การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็น สำหรับทุกคน ทุกวัย โดยเฉพาะวัยรุ่น เพราะเป็นวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต ในอัตราที่รวดเร็ว


การนอนหลับที่ถูกต้อง คือ การนอนหลับสนิท ตื่นขึ้นมาจะสดชื่น สมองแจ่มใส การนอนหลับสนิท 6 ชั่วโมง หรืออย่างมากที่สุด 8 ชั่วโมง ก็ถือว่าเพียงพอ


การปฏิบัติตัวเพื่อการนอนหลับสนิท


1. ก่อนนอนอาบน้ำให้ร่างกายสะอาด แต่งตัวด้วยชุดหลวมสบาย


2. ทำจิตใจให้สงบ คิดเรื่องดีๆ ควรสวดมนต์ ไหว้พระตามศาสนาที่ตนนับถือ


3. นอนในสถานที่อากาศถ่ายเทสะดวก สะอาด และสงบ


4. นอนหลับให้เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย คืนละประมาณ 6-8 ชั่วโมง


เคล็ดลับเรื่องขับถ่าย-ท้องไม่ผูก


อาการท้องผูกเป็นปากประตูร้ายของโรคต่างๆ ตั้งแต่ลำไส้ระคายเคือง ท้องอืดเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว กลิ่นตัวแรง สิวฝ้า ปากเหม็น มะเร็งลำไส้ ฯลฯ


วิธีการป้องกันการเกิดอาการท้องผูกด้วยวิธีธรรมชาติ มีหลายวิธี เช่น


1. กินอาหารที่มีเส้นใยให้มาก คนเราต้องการเส้นใยอาหารวันละ 25 กรัม อาหารที่พึ่งพิงได้มากที่สุดคือ ข้าวกล้อง เพราะข้าวกล้องมีเส้นใยอาหารสูง 1 ทัพพี มี 3.4 กรัม


2. กินผักพื้นบ้าน เช่น มะเขือพวง สะเดา ขนุนอ่อน ใบบัวบก ผักบุ้ง กระถิน ดอกขจร ดอกโสน ผักหวาน ยอดมะยม ผักปลัง ยอดแค ดอกมะรุม ฯลฯ พึงจำไว้ว่า ผักพื้นบ้านมีใยอาหารมากกว่าผักสวนหรือผักจีน (เช่น คะน้า กวางตุ้ง) แถมปลอดสารเคมีมากกว่าด้วย


3. หลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่มีเส้นใย เช่น ช็อกโกแลต เนยแข็ง เนื้อสัตว์ แป้งขัดขาว และลูกกวาด


4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ


การนั่งกินนอนกินทั้งวันจะทำให้ท้องผูก จึงควรออกกำลังกายประมาณ 30 นาที/ครั้ง/วัน เช่น เดิน วิ่ง กายบริหาร ปั่นจักรยาน ฯลฯ เพื่อช่วยให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว คลายท้องผูกได้


นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพื่อให้เส้นใยอาหารพองตัว และฝึกนิสัยการขับถ่ายให้เป็นเวลาด้วย

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

‘น้ำทับทิม’ ป้องกันสมองเสื่อม


‘น้ำทับทิม’ ป้องกันสมองเสื่อม


ทับทิม เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณป้องกันอาการหลง ๆ ลืม ๆ ทั้งยังช่วยบำรุงผิวพรรณ ในส่วนของเมล็ดยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระตัวการก่อมะเร็ง

มุมสุขภาพ-กินดี สรรหาเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพมาปิดท้ายให้เข้าธีมของสัปดาห์ที่ว่ากันถึง อาการสมองเสื่อม ซึ่งสามารถป้องกันด้วย ทับทิม ผลไม้มากคุณค่า สีสันสวยงาม โดยคุณพล ตัณฑเสถียร ฟู้ดสไตลิสต์คนดัง สร้างสรรค์เป็นเครื่องดื่มแก้วเก๋ ชื่อ Red Shooter

นอกจากทับทิมแล้ว เครื่องดื่มแก้วนี้ยังต้องการส่วนผสมเพื่อเพิ่มคุณค่าเข้าไปอีก มีทั้งแตงโม มะนาว ส้ม และสับปะรด ที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินซี ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ และทำให้แผลหายเร็วอีกด้วย

สรุปส่วนผสมที่ต้องเตรียม คือ....

ทับทิม
แตงโม
มะนาว
ส้ม
สับปะรด

ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากการแกะเมล็ดทับทิมออกจากผล แล้วใส่รวมกันในผ้าขาวบาง บีบคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนผลไม้ชนิดอื่นๆ นำไปคั้นเอาแต่น้ำเช่นกัน เมื่อได้ส่วนผสมทั้งหมดแล้วให้นำไปผสมรวมกัน จากนั้นนำไปเขย่ารวมกับน้ำแข็งก้อนใหญ่เพียงชั่วครู่ ก็จะได้เครื่องดื่มรสเปรี้ยวอมหวานที่เย็นจับใจ ดื่มได้ทันที.

พลังพืช ดื่มลดไขมันในเลือด


พลังพืช ดื่มลดไขมันในเลือด

หากปล่อยให้ระดับไขมันในเลือดสูง นานวันเข้าต้องระวัง เบาหวาน ถามหา ยิ่งถ้าป่วยเรียบร้อยโรงเรียนเบาหวานแล้วล่ะก็ จะรับประทานอะไรก็ต้องระวังเรื่องน้ำตาล หมดสนุกกับการใช้ชีวิตแสนสุข

หากปล่อยให้ระดับไขมันในเลือดสูง นานวันเข้าต้องระวัง เบาหวาน ถามหา ยิ่งถ้าป่วยเรียบร้อยโรงเรียนเบาหวานแล้วล่ะก็ จะรับประทานอะไรก็ต้องระวังเรื่องน้ำตาล หมดสนุกกับการใช้ชีวิตแสนสุข

มุมสุขภาพ-กินดี เห็นว่าการใส่ใจแก้ไขปัญหาสุขภาพแต่เนิ่น ๆ ย่อมดีกว่าการจัดการที่ปลายเหตุ วันนี้จึงเตรียมสูตรเครื่องดื่มลดไขมันในเลือด อีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงเป็นหวานได้

เครื่องดื่มแก้วนี้อาจมีส่วนผสมมากอย่างสักหน่อย แถมรสชาติอาจไม่ละมุนนุ่มลิ้น แต่เพื่อสุขภาพแล้ว จงอย่าได้ปฏิเสธที่จะรับคุณค่าจาก แครอท ที่มีคุณสมบัติขจัดไขมันส่วนเกินจากตับ ดีต่อตับและระบบเลือด พริกหยวก เพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบย่อยอาหาร เช่นเดียวกับ มะเขือเทศ

ขณะที่ แอปเปิ้ล จะเข้าไปทำความสะอาดตับ น้ำมะนาว ปรับสภาพร่างกายให้เป็นด่าง ช่วยให้ตับผลิตน้ำดีได้อย่างเป็นปกติ น้ำผึ้ง นอกจากช่วยแต่งรสชาติให้ดื่มง่ายขึ้นแล้ว ยังช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ แบคทีเรีย บำรุงเลือด ลดความดันโลหิตสูง

น้ำมันมะกอก มีไขมันดีที่จะเข้าควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม และ พริกไทย เป็นส่วนผสมที่ช่วยเสริมระบบการย่อยอาหารนั่นเอง

มีส่วนผสม เตรียมตามปริมาณต่อไปนี้...

แครอท 1 ถ้วย
แอปเปิ้ลเขียว 1/2 ถ้วย
มะเขือเทศ 1/2 ถ้วย
น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
น้ำมันมะกอก 2 ช้อนชา
มะนาว 1 ผล
พริกหยวก 1/4 ถ้วย
พริกไทย 1/4 ถ้วย
น้ำแร่ 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ เริ่มด้วยการล้างผักและผลไม้ให้สะอาด นำมะนาวไปคั้นเอาแต่น้ำ ส่วนมะเขือเทศ แครอท แอปเปิ้ลเขียว ให้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า สำหรับพริกหยวกให้ควักไส้ออกแล้วซอยเป็นเส้นเล็ก ๆ เม็ดพริกไทยบุบให้แตก นำส่วนผสมที่เตรียมไปปั่นพร้อมกัน จากนั้นเติมน้ำแร่ น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ ปรุงรสชาติให้ดื่มง่ายด้วยน้ำผึ้ง แล้วปั่นรวมกันอีกรอบ เสร็จแล้วควรดื่มทันที.

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

กินเพื่อผิวสวยกัน!!!


กินเพื่อผิวสวยกัน!!!


อย่า ลืมให้ความสำคัญกับการรับประทานผักและผลไม้ ในปริมาณที่เพียงพอ อาหารที่มีประโยชน์จะช่วยบำรุงดูแลผิวของเราได้

ส้ม - เป็นผลไม้ที่เต็มไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เลยมีประโยชน์ช่วยบำรุงให้ผิวของเราดูสดใสอ่อยวัย

มะนาว - อุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งเป็นวิตามินหลักของร่างกายที่มีผลต่อสภาพผิว หากร่างกายขาดวิตามินซี ผิวของเราก็จะดูเหนื่อยล้า แห้งกร้าน หมองคล้ำ ไม่เปล่งปลั่ง

แครอท - มีสารเบต้าแคโรทีนที่จะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นอาหารจำเป็นที่ช่วยบำรุงผิว

กีวี - ผลไม้นอกชนิดนี้ประกอบด้วยวิตามินซี ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวของเราดูชุ่มชื้นหรือว่าแห้งกร้าน

อะโวคาโด - ผลไม้นอกอีกหนึ่งชนิดที่อุดมไปด้วยวิตามินซี การรับประทานอะโวคาโด 1 ผลต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการในแต่ละวัน เลยทีเดียว


โยเกิร์ต - การรับประทานนมเปรี้ยวหมักจะช่วยในเรื่องการขับถ่าย ซึ่งมีผลต่อผิวพรรณของเราเหมือนกัน

เมล็ดถั่วต่างๆ - ประกอบไปด้วยโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารของผิวสวยค่ะ

งา - อุดมไปด้วยวิตามินบี สังกะสี และโปแตสเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวดูสดใสอ่อนวัย

ผักโขม - เหมือนที่ป๊อปอายกินไงคะ ผักชนิดนี้เต็มไปด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอมชมพูดูมีสุขภาพดี

ปลาอุดมไขมัน - เช่น ปลาแซลมอน ปลาพกวนี้จะมีน้ำมันปลาที่ช่วยให้ผิวเต่งตึงค่ะ


ผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง


ผลไม้ที่มีสารต้านมะเร็งสูง


กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง!

นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบว่า


ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก

2. มะเขือเทศราชินี

3. มะละกอสุก

4. กล้วยไข่

5. มะม่วงยายกล่ำ

6. มะปรางหวาน

7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง

8. มะยงชิด

9. มะม่วงเขียวเสวยสุก

10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม

น้ำเชอรี่เพื่อสุขภาพ


น้ำเชอรี่เพื่อสุขภาพ


ส่วนผสม
เชอรี่ 100 กรัม (7 ช้อนคาว)
น้ำเชื่อม 30 กรัม (2 ช้อนคาว)
น้ำเปล่าต้มสุก 200 กรัม (14 ช้อนคาว)
เกลือป่นเสริมไอโอดีน 1 กรัม(1/5 ช้อนชา)
วิธีทำ
เลือกเชอรี่เด็ดก้านล้างให้สะอาด นำไปใส่เครื่องปั่นใส่น้ำต้มครึ่งหนึ่ง ปั่นให้ละเอียดนำไปกรองเอาแต่น้ำ นำน้ำเปล่าต้มสุกส่วนที่เหลือใส่ลง ไปคั้นกับกากเชอรี่ให้แห้งมากที่สุดนำน้ำเชอรี่ที่คั้นได้ใส่น้ำเชื่อมเติมเกลือ ชิมรสตามชอบ

ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร มีวิตามินซีสูงมาก ช่วยป้องกันโรคเลือดออก ตามไรฟัน
คุณค่าทางยาช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง



__________________

แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Slim Up)


แอปเปิ้ล ผลไม้เพื่อสุขภาพ (Slim Up)


การจำกัดปริมาณอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับคุณผู้หญิง เพราะไหนจะต้องทนต่อความหิวจนกว่าจะผอม แต่พอผอมสมใจกลับโดนทักว่าทำไมดูซีดเซียว ไม่สดชื่น อวบอั๋นเหมือนตอนก่อนลดน้ำหนัก

การรับประทานผลไม้จึงเป็นวิธีหนึ่ง ที่ช่วยแก้ปัญหาได้ทั้งการลดน้ำหนัก และการมีสุขภาพที่สดใส เพราะผลไม้ประกอบไปด้วยเส้นใยอาหาร (Fiber) ที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องมีน้ำตาลธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมได้เร็ว และนำไปใช้งานได้ทันที นอกจากนี้ ผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุอีกนับไม่ถ้วน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ไม่ทรุดโทรม จึงเหมาะสำหรับสาว ๆ ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักเป็นที่สุด

เมื่อถามคนใกล้ตัวว่า "อยากลดน้ำหนักจะทานผลไม้อะไรดี?" เชื่อว่าคงได้คำตอบกว่าครึ่งเป็นผลไม้รูปร่างอวบอัดที่ชื่อว่า "แอปเปิ้ล" แน่ ๆ เพราะแอปเปิ้ลเป็นผลไม้ที่มีสีสันชวนรับประทาน เนื้อสัมผัสกรอบ รสชาติอร่อย กลิ่นหอม มีคุณค่าทางโภชนาการสูง หาทานได้ง่าย ราคาไม่แพง และที่สำคัญคือไม่ทำให้อ้วน แอปเปิ้ลจึงได้ชื่อว่าเป็น "ราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก"

กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ผล ร่างกายแข็งแรง

แอปเปิ้ลให้สารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตและวิตามินซีเป็นหลัก ซึ่งปริมาณวิตามินซีจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ ช่วงเวลาเก็บเกี่ยว และความสด เนื้อแอปเปิ้ล 100 กรัม มีวิตามินซีประมาณ 6 มิลลิกรัม และให้พลังงานราว 59 แคลอรี ไม่ทำให้อ้วน แต่แอปเปิ้ลก็มีสารอาหารที่มีประโยชน์ชนิดอื่นทดแทน แบบที่เรียกได้ว่าไม่น้อยหน้าผลไม้อื่นแต่อย่างใด

พลังงานที่ได้จากแอปเปิ้ลมีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจคือ แอปเปิ้ลจะให้พลังงานค่อนข้างต่ำและค่อยเป็นค่อยไป เพราะแหล่งพลังงานของแอปเปิ้ลคือ น้ำตาลฟรักโทสซึ่งเป็นน้ำตาลที่เปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ในร่างกายช่วยให้ไม่รู้สึกหิว อิ่มนาน ผลที่ตามมาคือ ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอ ไม่สูงเร็วเหมือนกินขนมหวาน จึงเหมาะกับคนไข้เบาหวานด้วยเช่นกัน

เปลือกและเนื้อของแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารที่ชื่อว่า "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก ช่วยเพิ่มกากในทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ เพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ซึ่งเป็นการช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ และยังช่วยจับคอเลสเตอรอลไม่ให้ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ป้องกันโรคคอเลสเตอรอลในเลือดสูง โรคหัวใจ และความดันโลหิตสูง

นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่และสารอาหารที่มีประโยชน์อีกหลายชนิด ทั้งวิตามินเอ บี 1 บี 2 บี 6 ไบโอติน กรดโฟลิก กรดแพนโทเธอนิค เกลือแร่ คลอไรด์ เหล็ก ทองแดง แมกกานีส แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม ซิลิคอน และยังมีกรดอินทรีย์ 2 ชนิด คือ กรดมาลิคและกรดทาร์ทาริก ซึ่งช่วยในการย่อยอาหารจำพวกโปรตีนและไขมัน สารอาหารเหล่านี้ มีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน โดยเฉพาะวิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่พบมากในแอปเปิ้ล จะช่วยป้องกันโรคหัวใจในผู้ที่รับประทานเป็นประจำ

แอปเปิ้ลเขียว หรือแอปเปิ้ลแดง ที่มีประโยชน์มากกว่ากัน

เมื่อวิเคราะห์จากคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ เปรียบเทียบระหว่างแอปเปิ้ลเขียวและแอปเปิ้ลแดง พบว่าไม่มีความแตกต่างกันมากนัก แต่สิ่งที่แอปเปิ้ลแดงมีเหนือกว่าเล็กน้อยคือ ปริมาณของสารแอนโทไซยานิน ซึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มฟลาโวนอยด์นั่นเอง

ดื่มน้ำแอปเปิ้ล ก็ได้ประโยชน์เท่ากินทั้งลูก?

จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะพบว่าประโยชน์ของแอปเปิ้ลมาจากองค์ประกอบ 3 ตัวด้วยกันคือ จากเส้นใยอาหาร สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากบริเวณเปลือก และจากน้ำตาลฟรักโทสที่มีมากในเนื้อแอปเปิ้ล ดังนั้นหากต้องการดื่มน้ำแอปเปิ้ล ควรเลือกวิธีการปั่นทั้งผล โดยไม่ต้องปอกเปลือก เพราะหากใช้วิธีคั้นน้ำ จะทำให้ได้เฉพาะน้ำตาลและสารต้านอนุมูลอิสระอีกเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้อ้วนได้มากกว่าเดิม และไม่ได้รับประโยชน์ทั้งหมดจากแอปเปิ้ลอย่างครบถ้วน

กินแอปเปิ้ลอย่างไรให้ได้ประโยชน์

ในแง่โภชนาการ แอปเปิ้ลไม่ใช่ผลไม้ที่มีวิตามินหรือแร่ธาตุในปริมาณสูงมากนัก เมื่อเทียบกับกล้วย ฝรั่งหรือส้ม แต่หากทานแอปเปิ้ลวันละ 2-4 ลูก โดยไม่ปอกเปลือกก็จะได้รับเส้นใยอาหารและสารอาหารต่าง ๆ ในปริมาณที่พอเหมาะ

ในปัจจุบันมีการกล่าวอ้างสรรพคุณของแอปเปิ้ลมากมาย เช่น บำรุงหัวใจ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดัน ควบคุมปริมาณน้ำตาลในเลือด ลดความอยากอาหาร ช่วยกระตุ้นการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และฆ่าเชื้อไวรัส ซึ่งหากต้องการจะรับประทานแอปเปิ้ลสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมน้ำหนักแล้ว ก็ควรต้องทานเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และผักผลไม้อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อป้องกันการขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย





กินช็อกโกแลตทำให้เป็นสิวไหม?


กินช็อกโกแลตทำให้เป็นสิวไหม?

เนื่องจากมักมีการปรุงรสช็อกโกแลตให้หวานและมันด้วยน้ำตาล นม และผลิตภัณฑ์จากนม

การกินช็อกโกแลตมากๆ จึงอาจทำให้สิวเห่อได้จริง

ส่วนขนมเค้กที่มักมีรสหวานและมีส่วนผสมของน้ำตาล แป้ง นม และผลิตภัณฑ์จากนม ก็ทำให้สิวเห่อได้

นอก จากนั้นยังต้องระวังว่าการกินอาหารหวานๆ และขนมหวานมากเกินไป ล้วนก่อให้เกิดโรคอ้วนซึ่งทำให้เกิดโรคผิวหนังจากความอ้วนตามมาหลายอย่าง

- คนอ้วนอาจเป็นโรคสะเก็ดเงิน เห็นเป็นผื่นแดงนูนมีสะเก็ดสีเงิน มักเป็นตามข้อศอก หัวเข่า แนวไรผม

- ผิวเป็นผื่นดำ ที่ต้นคอ รักแร้ และใต้ราวนม

- มีติ่งเนื้อ พบบ่อยที่คอ รักแร้ การเกิดติ่งเนื้อนี้สัมพันธ์กับโรคเบาหวานและโรคอ้วน

- โรคเชื้อราที่ซอกพับ (เช่น ขาหนีบ) ที่ชาวบ้านเรียกว่าสังคัง เห็นเป็นผื่นแดง คัน มีขุยและมีขอบนูน

- ติดเชื้อยีสต์ (เช่น ที่ขาหนีบและใต้ราวนม) เห็นเป็นผื่นแดง มักมีจุดเล็กๆ กระจายอยู่รอบผื่น

- ติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น ที่ขาหนีบ รักแร้) โดยเห็นเป็นผื่นแดง

บาง โรคมีผลเสียในด้านความงามคือ ผิวแตกลาย มักพบที่ท้อง สะโพก ต้นแขนและต้นขา พบว่าคนอ้วนอาจมี ขนดก ตุ่มขนคุด ที่ตามต้นแขนต้นขา และคนอ้วนยังมีกลิ่นตัวได้บ่อยค่ะ

สุดยอด ผัก ผลไม้บำรุงสายตา


สุดยอด ผัก ผลไม้บำรุงสายตา

อาหารเพื่อบำรุงสมองนั้น เราทุกคนเคยทานและคุ้นเคยมากกว่าอาหารเพื่อบำรุงดวงตาหรือสายตา

อาหารเพื่อบำรุงดวงตาและสายตาไม่ใช่เรื่องใหม่ เพียงแต่เราน่าจะลองมาทำความรู้จัก ผักและผลไม้เหล่านี้ให้ดียิ่งขึ้น และควรหามาบริโภคเป็นประจำ เราก็จะสามารถช่วยให้ดวงตาของเรานั้นมีสุขภาพที่ดีและมองดูสดใสอยู่ตลอดเวลาค่ะ

ผลแอปริคอท

ผลแอปริคอทมันหวาน แคนตาลูป และน้ำเต้านั้น อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีนที่เป็นตัวช่วยชะลอการเสื่อมถอยของเลนส์ตา ช่วยบำรุงสายตา และช่วยในการป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก

ผักเคล หรือ กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม

เคล กะหล่ำปลีชนิดสีเขียวเข้ม ผักขม หัวผักกาดเขียวและบล็อคโครี่นั้น มีคุณประโยชน์ คือให้วิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตาให้มีประกายที่สดใส มีเบต้าแคโรทีน และยังช่วยต้านการเกิดโรคมะเร็ง มีแคลเซียม วิตามินซี และเส้นใยอาหารสามารถป้องกันโรคโลหิตจางได้อีกด้วย

ถั่วสีน้ำตาลแดง

ถั่วสีน้ำตาลแดง นั้นเพรียบพร้อมไปด้วยสังกะสีที่ดีต่อสายตา อีกทั้งวิตามินเอก็เป็นส่วนช่วยปกป้องเยื่อชั้นในของลูกตา

ส้ม

วิตามินซีที่พบได้ในผักและผลไม้ เช่น ส้ม มะเขือเทศ และพริกหวานนั้นสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดต้อกระจก อีกทั้งช่วยในการไหลเวียนเลือดในดวงตา วิตามินซีในส้มนั้นยังสามารถช่วยป้องกันโรคหวัด และนอกจากนี้กากของส้มยังช่วยในเรื่องของการขับถ่ายอีกด้วย

ถั่วชนิดต่างๆ

อัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวันและเฮเซิลนัต อุดมไปด้วยวิตามินอี และมีคุณประโยชน์มากมายในการช่วยป้องกันสายตา วิตามินอีเป็นที่รู้จักกันว่า เป็นสารต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ให้ผลในการป้องกันการทำลายของเซลล์ และยังช่วยในการปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์ ที่อวัยวะต่างๆ เช่น เซลล์ของตา ตับ เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานและอายุการใช้งานของอวัยวะเหล่านี้นานขึ้น

ปลาแซลมอน

เนื้อปลาแซลมอนนั้นมีกรดไขมันโอเมก้า 3 และ DHA ที่สามารถช่วยปกป้องจากโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งโปรตีนในเนื้อปลายังช่วยในเรื่องของโรคตาและยังสามารถช่วยลดอากาตาแห้งได้อีกด้วย

โฮลเกรน ธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสี

โฮลเกรน คือ ธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อย นั้นมีเส้นใยอาหารสูง โดยเฉพาะข้าวกล้อง ถั่วเมล็ดแห้ง งา ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ที่อุดมด้วยวิตามินอี วิตามินบีรวม แร่ธาตุต่างๆ และใยอาหาร มีสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งช่วยปกป้องการเสื่อมสภาพของเซลล์ เสริมสร้างระบบประสาทและเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรงสมบูรณ์

จากงานวิจัยได้ค้นพบว่าการเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมมาจากค่าดัชนีน้ำตาลที่สูงอีกทั้ง Macular หรือจุดกลางรับภาพจอประสาทตานั้นเป็นส่วนที่ไวต่อการมองเห็นมากที่สุด ดังนั้นการบริโภคธัญพืชที่ผ่านกระบวนการขัดสีน้อยเป็นประจำ ก็จะสามารถช่วยให้การเกิดของโรคจอประสาทตาเสื่อมลดลงได้ถึง 8% ค่ะ

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

เมนูผักและผลไม้สำหรับคนท้องผูก


เมนูผักและผลไม้สำหรับคนท้องผูก


วันนี้ขอแนะนำผักและผลไม้ที่เหมาะสมกับคนที่มีปัญหาท้องผูกกันนะคะ 1. ‘มะเขือเทศ’ เหมาะ สำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูกเป็นประจำ เพราะผักชนิดนี้ช่วยระบายท้อง แก้เลือดออกตามไรฟัน ลดความดันโลหิต แถมยังรักษาอาการตาพร่ามัว 2. ‘เกาลัด’ ช่วยบำรุงกระเพาะอาหารให้ทำงานได้ดี แก้ร้อนใน บำรุงม้าม 3. ‘กะหล่ำปลี’ แก้ท้องผูกบำรุงผิว รักษาแผลในลำไส้และกระเพาะอาหาร 4. ‘กุยช่าย’ ช่วยย่อยอาหารและบำรุงกระเพาะอาหาร แถมเสริมกำลังวังชา บำรุงพลังเพศ 5. ‘มะละกอ’ เลือกรับประทานแบบค่อนข้างสุกงอมจัด มีสรรพคุณช่วยระบาย และเมนูสุขภาพ ที่ครั้งนี้ขอแนะนำ ‘เครื่องดื่มจากมะขาม’ พืชอีกชนิดที่โดดเด่นในคุณประโยชน์ช่วยขับถ่าย สูตรนี้เลือกใช้มะขามเปียก ต้มกับน้ำ แล้วใส่น้ำตาลและเกลือลงไปเล็กน้อย กลายเป็นน้ำมะขาม ดื่มครั้งละ 1 แก้ว เพราะถ้าดื่มมากเกินไป จากท้องผูกจะกลายเป็นท้องเสียได้

7 วิธีช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น เร็วขึ้น และ ฉลาดขึ้น


7 วิธีช่วยให้สมองทำงานดีขึ้น เร็วขึ้น และ ฉลาดขึ้น


1.ให้สมองทำงาน
อุปกรณ์ที่ลับสมองได้ดีที่สุดน่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบ ใช่แล้ว เมื่อใดก็ตามที่สวม คุณจะสามารถกระตุ้นอัตราการเต้นของหัวใจได้ “คำแนะนำที่ดีที่สุดเพื่อสมองที่แข็งแรงและเยาว์วัยคือการออกกำลังกาย” การออกกำลังกายอาจช่วยป้องกันการเกิดภาวะสมองเสื่อมได้ด้วย และจะช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือด นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มการพัฒนาเส้นเลือดฝอยในสมอง ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น ฉะนั้นคนที่แข็งแรงจะมีสมองที่เฉียบคมและฉลาดขึ้นกว่าคนที่ไม่แข็งแรง เริ่มคิดออกกำลังกายกันได้แล้วครับ

2.ให้อาหารสมอง
การกินเป็นอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยพัฒนาสมอง เลือกกินอาหารที่ต้านอนุมูลอิสระเช่นผักและผลไม้ ที่มีประโยชน์แก่ร่างกายซึ่งก็จะมีประโยชน์แก่สมองของเราด้วย

3.เร่งความเร็ว
โดยธรรมชาติสมองจะเริ่มทำงานช้าลงเมื่ออายุเริ่มขึ้นเลขสาม มีงานอดิเรกที่มีความท้าทายและสนุกสนานหลายประเภทที่ทำให้สมองมีการพัฒนาเช่น ต่อจิ๊กซอว์ เล่นปิงปอง เล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ เรียนภาษาใหม่ เต้นแทงโก้ อื่นๆอีกมากมาย

4.สงบนิ่ง
ความเครียดในระดับสูงมีผลร้ายต่อเซลล์สมอง ความเครียดจะรบกวนกระบวนการรับรู้และการจำ การออกำลังกายช่วยคลายความเครียดได้อย่างยอดเยี่ยม แต่การเล่นโยคะหรือฝึกสมาธิก็คลายเครียดได้ดีเช่นกัน

5.พักสมอง
การนอนหลับพักผ่อนเป็นการพักสมองที่ดีมาก ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการพบทางออกที่สร้างสรรค์ให้กับปัญหาของวันต่อไป

6.หัวเราะบ้าง
อารมณ์ขันจะกระตุ้นส่วนต่างๆของสมองซึ่งสามารถใช้โดปามีนเป็นสารนำส่ง “ความรู้สึกดี” ให้เกิดขึ้น การหัวเราะทำให้เราฉลาดขึ้นหรือไม่ ยังบอกไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็เป็นทำให้เรามีความสุข

7.ยิ่งแก่ ยิ่งเก่ง
คนมีอายุจะแก้ปัญหาได้ดีกว่าเพราะมีข้อมูลในสมองที่จะเรียกใช้มากกว่าหนุ่มสาวนั่นคือเหตุผลว่าทำไมคนวัย 50-60 คือผู้รอบรู้ เป็นคนที่เราไปหาเพื่อขอคำแนะนำได้ดี

รู้ไว้ นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง


๏ ~* รู้ไว้ นิสัย 10 อย่าง ที่ทำให้สมองพัง * ~ ๏



1. ไม่ทานอาหารเช้า

หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม



2. กินอาหารมากเกินไป

การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น (เช่น เทพธิดาดิว เป็นต้น)



3. การสูบบุหรี่

เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์



4. ทานของหวานมากเกินไป

การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง



5. มลภาวะ

สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง



6. การอดนอน

การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้



7. นอนคลุมโปง

การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง



8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย

การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว



9. ขาดการใช้ความคิด

การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ



10. เป็นคนไม่ค่อยพูด

ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง



10 วิธี ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน


10 วิธี ช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงาน


การเพิ่ม metabolism ทำให้มีการเผาผลาญแคลอรีมากขึ้น ส่งผลให้ร่างกายใช้พลังงานจากอาหารและอาหารเสริมที่คุณทานเข้าไปด้วย ทำให้คุณอยากดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้น และน้ำที่คุณดื่มยังช่วยสนับสนุนการขับพิษ การขับถ่ายและการย่อยอาหารในร่างกายอีกด้วย และนี่เป็น 10 วิธีที่จะช่วยให้คุณเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานค่ะ



1. เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

"ยิ่งคุณมีกล้ามเนื้อเรียบมาก ร่างกายคุณก็จะเผาผลาญพลังงานมาก" ซึ่งวิธีการทำให้กล้ามเนื้อเรียบก็ไม่ยากค่ะ เพียงแค่ยกดัมเบลล์อย่างน้อยอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ก็จะช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มเหมือนกัน แต่ช่วงที่ระดับเมตาบอลิซึ่มคุณพุ่งสุดขีดนั้นน่ะ ไม่ใช่ตอนที่คุณวิ่งหอบแฮกๆ บนสายพานหรอกนะคะ แต่หลังจากนั้นอีกสัก 2-3 ชั่วโมงค่ะ



2. ขยับตัว

อยากเผาผลาญแคลอรี่ให้เร็วที่สุดก็ต้องออกกำลังกาย ซึ่งการออกกำลังกายนั้นเราต้องทำเป็นประจำ อย่างน้อยที่สุดก็วันละ 30 นาที อย่างปกติก็ 1 ชั่วโมง วิ่งเหยาะๆหรือเต้นแอโรบิกอาทิตย์ละ 3 ครั้ง(แต่ไม่ควรที่จะหักโหมมากจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้คุณเหนื่อยหอบได้) และไม่ว่าจะออกกำลังกายแบบไหนก็ช่วยเพิ่มเมตาบอลิซึ่มทั้งนั้นล่ะ ให้หัวใจได้เต้นแรงเต็มที่ 120 ครั้งต่อนาที ให้ต่อเนื่องนานสัก 30-45 นาที



3. กิน

ยิ่งร่างกายคุณขาดสารอาหาร กล้ามเนื้อก็จะล้า การเผาผลาญก็จะน้อยลง ทางที่ดีกินเป็นมื้อเล็กๆ วันละ 3-4 มื้อ ยังดีกว่าอดอาหารไปเลย แต่อย่าลืมว่า ควรจะเป็นคนเลือกินสักหน่อย ไม่ใช่บอกว่าให้เลือกกินของแพงนะคะ แต่ให้เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า ลดไขมันจากสัตว์ แต่เพิ่มปริมาณผักและผลไม้



4. งดน้ำตาล

เหตุผลง่ายๆ ก็คือน้ำตาลที่เหลือใช้แล้ว ร่างกายจะแปรสภาพเป็นไขมัน เพราะฉะนั้นลดน้ำตาล ก็จะช่วยลดไขมันไปในตัว



5. อย่าลืมกินอาหารเช้า

เป็นความจริงที่ว่าคนที่กินอาหารเช้าที่มีประโยชน์ หุ่นดีกว่าคนที่อดข้าวเช้า และอาหารเช้ายังทำให้ระดับเมตาบอลิซึ่มของคุณวันนั้นพุ่งเป็น 2 เท่าด้วย อีกอย่างอาหารเช้าจะช่วยทำให้สมองปลอดดปร่ง สามารถเริ่มทำงานได้อย่างเต็มที่



6. กินอาหารเผ็ดร้อน

เป็นคนไทยแสนจะโชคดี มีอาหารที่รสจัด มีทั้งพริกขี้หนูและพริกไทย แต่อย่าทานที่เผ็ดจนลิ้นชา หน้าแดง น้ำตาไหลนะคะ เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อกระเพาะและลำไส้ได้



7. ดื่มชาเขียว

เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยเร่งเมตาบอลิซึ่มได้ดีและปลอดภัยกว่ากาแฟ ที่สำคัญตอนนี้หาซื้อได้ง่าย มีหลายรสชาติให้เลือกรับประทานด้วยค่ะ



8. ดื่มน้ำเยอะๆ

จะช่วยขับสารพิษหลังจากที่ร่างกายเผาผลาญพลังงานแล้ว น้ำเย็นๆยังช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มกระเตื้องขึ้นอีกนิดหนึ่งด้วยนะ อีกสูตรที่จะช่วยให้คุณมีผิวพรรณที่สดใส นั่นคือ 1 2 3 3 1 อย่าเพิ่งงค่ะ เพราะว่า 1 2 3 3 1 ที่ว่านี้คือ หลังจากตื่นนอนให้ดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว ตอนสายอีก 2 แก้ว ตอนเที่ยงถึงบ่ายอีก 3 แก้ว ตอนเย็น 3 แก้ว และก่อนนอนอีก 1 แก้ว รับรองว่านอกจากจะช่วยกระตุ้นให้เมตาบอลิซึ่มแล้ว ผิวพรรณของคุณก็จะดูสดใสไปด้วย



9. อย่าเครียด

สำคัญมาก ๆ เลยค่ะ เพราะขณะนี้คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่กำลังตกอยุ่ในภาวะของอาการเครียด ซึ่งนอกจากจะทำร้ายจิตใจของเราแล้ว ยังส่งผลถึงร่างกายของเราด้วย เพราะความเครียดทำให้เราอ้วนขึ้น เพราะฮอร์โมนคอร์ติโซนจะไปทำให้อัตราเมตาบอลิซึ่มช้าลง ฉะนั้น สาว ๆ ที่กลัวอ้วน โปรดจงอย่าเครียด



10. นอนหลับ

ความลับที่เพิ่งจะค้นพบก็ คือ กล้ามเนื้อเรียบในร่างกายเราจะทำงานเผาผลาญแคลอรี่ได้ดีที่สุดในชั่วโมงหลังๆ ที่เราหลับสนิทเต็มที่ค่ะที่มาจาก ซึ่งร่างกายของคนเราต้องการการพักผ่อนอย่างเต็มที่อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมง


กินอาหารที่มีสีสันเพื่อสุขภาพที่ดี



กินอาหารที่มีสีสันเพื่อสุขภาพที่ดี


ควรมองหาอาหารที่มีสีน้ำเงินเข้ม,ม่วง,แดง,เขียว,ส้ม,และเหลือง เพราะประกอบด้วยสารคาโรตินอยด์และแอนโทไซยานินส์ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยบำรุงสุขภาพ ป้องกันร่างกายจากโรคหัวใจและมะเร็ง และเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันเซลล์เสียหาย และลดความเสี่ยงต่อโรคเกี่ยวกับความเสื่อมต่างๆของร่างกาย ผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ แนะนำ


สีเขียวเข้ม ผักก้านยาวอย่างบรอกโคลีและคะน้าเป็นแหล่งของแคลเซียมที่มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน


สีแดง มะเขือเทศและทับทิม เป็นแหล่งของแอนโทไซยานินส์และไลโคพีน ซึ่งอาจช่วยลดโอกาสการเป็นโรคหัวใจและมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร


สีส้ม/เหลือง ฟักทอง แครอท และมันเทศเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระที่สามารถส่งเสริมสุขภาพปอดและต้านมะเร็งเซลล์ผิวหนัง


สีน้ำเงิน/ม่วง มะเขือม่วงและบลูเบอรี่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โดยกระตุ้นตับให้ดูดซับคอเลสเตอรอลส่วนเกินและช่วยให้ความจำดีขึ้น

กินให้สวย เป็นนางงาม


กินให้สวย เป็นนางงาม


เรื่องความสวยความงามกับอาหารการกินดูเหมือนจะเป็น 2 สิ่งที่เดินสวนทางกัน แต่ก็ไม่เสมอไปหรอกน่า วันนี้มีเคล็ดลับกินให้สวยเป็นนางงามมาฝากกัน

ไม่ว่าคุณจะอยู่ระหว่าง "ไดเอ็ท" ควบคุมอาหาร หรือว่าชอบอาหารอย่างไหนเป็นพิเศษก็ตาม

ควรจำไว้ว่ารายการอาหารเพื่อสุขภาพ 10 อย่างข้างล่างนี้จะช่วยให้คุณแลดูสวยอย่างมีสุขภาพได้เลยทีเดียว


อย่างแรกสุด ผลไม้ มีงานวิจัยที่แนะนำว่าให้กินผลไม้อย่างน้อย 5 ส่วนในแต่ละวัน เพราะมีคุณประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งบางประเภทได้


ข้อสอง กรดไขมันที่จำเป็นสำหรับร่างกาย (Essential fatty acids) หรือที่รู้จักกันว่าเป็นไขมันส่วนที่ดี จะเข้าไปช่วยทำให้ผิว ผมและเล็บดูแข็งแรง


ถัดมา กระเทียม อย่าเพิ่งเบือนหน้าหนี เพราะว่ากระเทียมเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าป้องกันมะเร็งได้ กระเทียมยังช่วยลดคอเลสเทอรอลและความดันโลหิตอีกด้วย


ควรเลือกดื่ม ชาเขียว ด้วยเหตุผลเดียวกับกระเทียมคือมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันมะเร็งบางชนิด ทั้งยังเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย


ข้อที่ 5 ผักใบเขียว เนื่องจากมีวิตามินเอและอี พร้อมกากใย และธาตุเหล็ก วิตามินเอบำรุงตาและผิวหนัง ส่วนวิตามินอีช่วยความยืดหยุ่นของผิว กากใยช่วยการขับถ่าย ส่วนธาตุเหล็กไปช่วยผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง


อย่าลืมดื่ม นม เพราะเป็นแหล่งแคลเซียมและวิตามินดี เป็นประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน ป้องกันโรคกระดูกผุ


ถั่วเหลือง ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยป้องกันมะเร็ง พร้อมทั้งมีวิตามินอี และกรดอะมิโน ที่ช่วยให้ผิวเรียบลื่น ยืดหยุ่นด้วย


วิตามินซี จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันและช่วยให้ร่างกายต่อสู้โรคภัยได้ วิตามินซียังเป็นกุญแจสำคัญให้ร่างกายสร้าง คอลลาเจน อันเป็นสารเคมีที่ทำให้ผิวหนังยืดหยุ่นและปราศจากรอยย่นอีกต่างหาก


โยเกิร์ต ก็เป็นแหล่งอาหารชั้นดีที่มีแคลเซียม วิตามินดี และวิตามินบี ทั้งยังมีแบคทีเรียช่วยระบบย่อยด้วย


ช็อกโกแลต อ่านไม่ผิดหรอกค่ะ ช็อกโกแลตเป็นหนึ่งในอาหารที่จะช่วยให้คงความงามไว้ได้ เพราะว่าในช็อกโกแลตมีสารที่กระตุ้นเอนโดร์ฟิน และเซโรโตนิน ฮอร์โมนทั้ง 2 ทำให้มีอารมณ์ดี มีความสุข คนจะแลดูสวยได้ก็ต้องรู้สึกสวย รู้สึกดีเสียก่อน


สุดท้ายอย่าลืม ดื่มน้ำ เพราะน้ำจะช่วยให้แลดูอ่อนเยาว์ ผมเปล่งประกาย นุ่มสลวย น้ำยังช่วยขับของเสียและสารพิษออกจากร่างกายอีกด้วย.






17 สูตร เพื่อผิวสวย


17 สูตร เพื่อผิวสวย !!!


...บำรุงผิวให้อ่อนเยาว์...

1. หากอยากให้ผิวพรรณผุดผ่องล่ะก็ ก่อนลงเล่นน้ำทะเลควรจะชโลมเบบี้ออยล์ให้ทั่วตัวก่อน แล้วค่อยใช้ทรายที่ชายทะเลขัดผิว ก่อนที่จะไปล้างตัวด้วยการเล่นน้ำทะเล แต่อย่าลืมทาครีมหรือโลชั่นกันแดดที่มี SPF 15 ด้วย ไม่งั้นผิวสวยๆจะไหม้เกรียมซะก่อนนะจ๊ะ

2. ส่วนสาวที่มีผิวบอบบาง ควรป้องกันผิวจากรังสียู่วีในแสงอาทิตย์ได้ด้วยการชโลมน้ำมันอัลมอนด์ลงบนผิวกายทุกครั้งหลังอาบน้ำ หรือจะใช้น้ำมันที่สกัดจากมะพร้าว ก็ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและลมหนาวได้เหมือนกัน

3. มอยส์เจอไรเซอร์ สำหรับสาวที่มีผิวไวและเกิดการระคายเคืองง่าย ควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของกรดหรือน้ำหอม สังเกตได้บนฉลากของผลิตภัณฑ์จะเขียนคำว่า " Comedogenic " หมายถึงผลิตภัณฑ์นั้นจะไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันนั่นเอง

4. สาวที่มีผิวธรรมดา แต่มักตกสะเก็ดและคันในช่วงหน้าหนาว ขอแนะนำให้ใช้โลขั่นที่มีความชุ่มชื้น ที่ออกแบบมาสำหรับคงความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้ตลอด 24 ชั่วโมง

5. สาวที่อยากมีผิวขาวเนียนสว่างกระจ่างตา ทำได้โดยนำมะขามเปียกมาขัดถูผิวเวลาอาบน้ำ จะช่วยให้ผิวเนียนนุ่มไม่แห้งแตก ยิ่งในช่วงหน้าหนาวอย่างนี้ด้วยยิ่งดีใหญ่ เพราะจะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มเนียนน่าสัมผัสมากยิ่งขึ้น


...ใส่ใจใบหน้าให้ใสปิ๊ง...

6. ดื่มน้ำแร่อย่างน้อย 1.5 ลิตรทุกวัน จะช่วยให้ผิวพรรณและใบหน้าสดใส

7. ใช้น้ำแร่เย็นเฉียบล้างหน้าเป็นประจำเช้า-เย็น จะช่วยลดรอยขรุขระบนใบหน้าได้ น้ำเย็นยังช่วยให้ผิวหน้าปรับสภาพและคืนสมดุลได้อย่างเป็นธรรมชาติอีกด้วย

8. สาวๆหลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ผิวหน้าก็หิวน้ำได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหมั่นฉีดสเปรย์น้ำแร่ให้ใบหน้าคงความชุ่มชื้นได้ตลอดวัน

9. นำน้ำผึ้งมาอุ่นให้ได้อุณหภูมิพอเหมาะ แล้วพอกทาทั่วใบหน้าและลำคอ วิธีนี้จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเป็นการให้สารอาหารบำรุงกับผิวหน้าด้วย

10. ลองใช้น้ำผึ้งมาผสมน้ำนมอาบเหมือนพระนางคลีโอพัตราบ้างก็ได้ วิธีนี้จะช่วยบำรุงผิวให้นุ่มนวลดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ

11. ใช้เมล็ดอัลมอนด์บดผสมกับโยเกิร์ต พอกทิ้งไว้ 18-20 นาที ใช้น้ำล้างหน้าแล้วใช้ผ้าสะอาดเช็ด จากนั้นล้างหน้าอีกครั้ง แล้วคุณจะรู้สึกได้ถึงผิวหน้าที่นุ่มนวลเนียนใส


...ถนอมผิวรอบดวงตา...

12. ทำความสะอาดรอบดวงตาอย่างละมุนละไม โดยเฉพาะสาวไหนที่รักการแต่งหน้าเป็นชีวิตจิตใจ ควรเลือกใช้โลชั่นเช็ดเครื่องสำอางที่ผลิตมาเป็นพิเศษสำหรับล้างเครื่องสำอางอย่างอายแชโดว์และมาสคาร่า

13. ก่อนเลือกซื้อครีมบำรุงรอบดวงตา ให้พิจารณาด้วยว่ามีส่วนผสมอะไรในครีมบ้าง เช่น ถ้าผสมชาเขียวซึ่งมีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ก็จะช่วยฟื้นฟูผิวของคุณให้สดใสขึ้น หรือถ้ามีส่วนผสมของคาโมมายล์ ก็จะช่วยในการผ่อนคลาย และปลอบประโลมผิวจากอาการระคายเคืองได้ดี

14. สำหรับสาวที่อยากชะลอริ้วรอยก่อนวัย ควรเลือกครีมบำรุงดวงตาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ จะช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น ขณะที่วิตามินบีจะช่วยซ่อมแซมผิว และวิตามินช่วยปกป้องผิวจากริ้วรอย

15. ก่อนนอน ควรดูแลผิวรอบดวงตาด้วยการใช้นิ้วมือแตะครีมบำรุงรอบดวงตา แล้วถูเนื้อครีมให้เข้ากัน วิธีนี้จะช่วยให้เนื้อครีมผสมผสานทำงานได้ดีขึ้น แล้วแตะเบาๆบนผิวรอบดวงตา ปล่อยให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวจะช่วยบำรุงและชะลอริ้วรอยเพื่อผิวหน้าสดใส

16. ส่วนครีมบำรุงรอบดวงตาตอนเช้า เลือกชนิดเจลที่มีส่วนผสมของวิตามินที่ช่วยลดริ้วรอยและปกป้องแสงแดด ทั้งนี้ไม่ควรใช้ครีมสำหรับใบหน้าทาบริเวณรอบดวงตา เพราะบางชนิดเนื้อครีมจะมีความเข้มข้นสูง และมีส่วนผสมของน้ำหอม และสี ซึ่งอาจทำให้ดวงตาเกิดการระคายเคืองได้

17. สาวไหนนอนดึก สามารถแก้ขอบตาดำคล้ำได้ด้วยการฝานมันฝรั่งบางๆ แล้ววางลงบนเปลือกตาทั้งสองข้าง ทิ้งไว้ 10 นาที น้ำและความชุ่มชื้นจากมันฝรั่งจะซึมซาบเข้าสู่ผิว ช่วยให้รอยคล้ำใต้ตาจางลงได้

ปฏิทินของฉัน

สอนการลดน้ำหนักด้วยโยคะ Fat Burning Yoga

Favorite music.

การขอแต่งงานที่น่ารักที่สุดในโลก

Music profoundly



ทำดีได้ดี

ครอบครัวสุขสันต์

งานราตรีสีชมพูอมส้ม